ผลสำรวจเผยนักลงทุน DeFi เพิ่มขึ้นถึง 23% แต่ 40% ไม่รู้วิธีอ่าน Smart Contract
แม้จะมีความนิยมในภาค DeFi เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ผลสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดย CoinGecko เผยว่ามีเพียง 23% ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการทำ Yield Farming บางรูปแบบ อย่างไรก็ตามเกษตรกรหลายคนตอบว่าพวกเขาไม่รู้วิธีอ่านสัญญา Smart contract แต่เพลิดเพลินไปกับอัตราผลตอบแทน ROI ที่สูง
การทำฟาร์มให้ผลตอบแทนเป็นแนวโน้มที่เติบโตเพิ่มสูงขึ้น
ในปีนี้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า มันเป็นช่วงที่การเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) กำลังบูม ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเป็นผลมาจากการทำฟาร์ม ซึ่งเป็นกระบวนการในการได้รับผลตอบแทนจากเงินทุนโดยการล็อคสินทรัพย์ด้วยโปรโตคอลที่เฉพาะเจาะจงและรับรางวัล
CoinGecko เว็ปข้อมูลด้านคริปโตระดับโลกได้จัดแบบสำรวจเพื่อให้ความกระจ่างเกี่ยวกับมุมมองของผู้ใช้งานและแนวทางของพวกเขาที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในภาค DeFi และการทำฟาร์มผลตอบแทน
ดังกราฟด้านล่างแสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมดเคยได้ยินเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตที่ใหญ่ที่สุดสองสกุลก็คือ Bitcoin และ Ethereum โดย 94% เคยซื้อสินทรัพย์คริปโตอย่างน้อยหนึ่งรายการในขณะที่อีก 81% เคยได้ยินเกี่ยวกับ liquidity mining หรือ yield farming
สิ่งที่น่าสนใจก็คือจากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 1,347 คนมีเพียง 23% เท่านั้นที่ตอบว่าพวกเขาเข้าร่วมในการทำฟาร์มผลผลตอบแทนในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา จากข้อมูลของ CoinGecko สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำฟาร์มให้ผลตอบแทน “ยังคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้น”
ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นด้วยว่า การทำฟาร์มผลตอบแทนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (90%) ในขณะที่เพศหญิงมีเพียง 6% อีก 4% ที่เหลือไม่ต้องการแสดงความคิดเห็น
เกษตรกรหลายคนไม่รู้วิธีอ่านสัญญา Smart contract
ในหลายเดือนที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ DeFi นั้นยังคงมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นข้อผิดพลาดจากมนุษย์หรือจากการแฮ็กโปรโตคอลที่ส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลสำหรับนักลงทุน
ผู้เข้าร่วมแบบสำรวจส่วนใหญ่ (79%) อ้างว่าพวกเขาเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในระดับเหมาะสม อย่างไรก็ตาม 40% ของเกษตรกรตอบว่าพวกเขาไม่รู้วิธีอ่านสัญญา Smart contract และอีก 33% ไม่ทราบถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
จากข้อมูลของ CoinGecko ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถคำนวณ อัตราผลตอบแทน ROI ที่แท้จริงของพวกเขาได้และเป็น “ผู้ที่แบกความเสี่ยงสูงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่สูง”
อย่างไรก็ตาม 93% ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า พวกเขามีอัตรา ROI อย่างน้อย 500% จากการทำฟาร์มผลตอบแทน CoinGecko ให้ความเห็นว่าผลลัพธ์เหล่านี้ “ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เนื่องจากพวกเขาพบว่า Pool ใหม่จำนวนมากในปัจจุบันให้ผลตอบแทนต่อปีที่สูงเกินกว่า 1,000%
รางวัลมากมายสำหรับเกษตรกรหมายความว่า พวกเขาไม่คิดที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมที่เพิ่มสูงขึ้นในเครือข่าย Ethereum โดยกว่า 70% ตอบว่าค่าธรรมเนียม Gas ต่อธุรกรรมที่ 10 ดอลลาร์ขึ้นไปดูเหมือนว่าจะไม่สมเหตุสมผล ณ จุด ๆ นี้
ดูเหมือนว่าธุรกิจการขุด Cryptocurrency ในคาซัคสถานนั้นจะได้รับความนิยมเพิ่มอย่างต่อเนืองในปีนี้ จนทำให้รัฐบาลของประเทศถึงกับต้องลงนามในกฎหมายฉบับใหม่เพื่อจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับนักขุด crypto ในปีหน้า
นาย Kassym-Jomart Tokayev ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน เพิ่งลงนามในกฎหมายฉบับใหม่เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว ซึ่งจะเป็นการกำหนดขึ้นภาษีเพิ่มเติมสำหรับพลังงานที่ถูกใช้โดยนักขุด crypto ในประเทศ โดยอัตราใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2022 เป็นต้นไป
สำนักข่าวท้องถิ่น Kursiv รายงานว่า ธุรกิจต่าง ๆ ไม่เห็นด้วยกับกฏหมายเรียกเก็บภาษีฉบับใหม่นี้ โดยหลายคนมองว่า นี่อาจเป็นการบังคับให้เหมืองขุดคริปโตภายในประเทศยุติกิจการทางอ้อม
อย่างไรก็ตามนาย Albert Rau ประธานคณะกรรมการเพื่อการปฏิรูปเศรษฐกิจและการพัฒนาภูมิภาคของคาซัคสถานกล่าวว่า จุดประสงค์หลักของกฎหมายใหม่นี้คือ การกำกับดูแลอุตสาหกรรมเหมืองขุด crypto และทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศ
คาซัคสถานนั้นเพิ่งกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักขุดคริปโตทั่วโลก โดยข้อมูลล่าสุดจาก Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index เผยให้เห็นว่า คาซัคสถานเป็นประเทศที่ครองส่วนแบ่งการขุด Bitcoin มากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ยักษ์ใหญ่ด้านการขุด crypto ของจีน Canaan เพิ่งย้ายฐานการดำเนินงานของพวกเขาไปยังคาซัคสถาน ท่ามกลางการปราบปรามการทำเหมือง crypto ของรัฐบาลจีนและ pool รายใหญ่ของจีนอย่าง BTC.com ก็ประสบความสำเร็จในการย้ายเครื่องขุดส่วนหนึ่งไปยังคาซัคสถานเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า บริษัทธุรกิจหลายพันแห่งในทั่วโลกได้รับผลกระทบจากแรนซัมแวร์ที่เข้าโจมตีระบบซัพพลายเชนของบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดัง “Kaseya” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า REvil นั้นได้เข้าถึงข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ VSA จำนวนมากของบริษัท ซึ่งใช้สำหรับการจัดการคอมพิวเตอร์จากระยะไกล (Remote) ให้กับบริษัทในเครือทั้งหมด
ในช่วงแรก REvil ขอให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่จ่ายเงินค่าไถ่เป็นเหรียญคริปโต Monero มูลค่า 45,000 ดอลลาร์ แต่ภายหลังจากนั้นก็มีข้อตกลงใหม่เกิดขึ้นคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 70 ล้านดอลลาร์หรือ 2.1 พันล้านบาทเลยทีเดียว
บริษัทในสหรัฐฯ พยายามสกัดกั้นการโจมตีของแรนซัมแวร์
ธุรกิจต่าง ๆ ทั่วทั้งสหรัฐฯ ต่างเร่งรีบเพื่อสกัดกั้นการโจมตีแรนซัมแวร์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ ซึ่งส่งผลทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกกลายเป็นอัมพาตชั่วขณะ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าวว่า แก๊งแฮ็กเกอร์ REvil นั้นดูเหมือนจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทซัพพลายเออร์ “Kaseya” โดยใช้แพ็คเกจการจัดการเครือข่ายเป็นช่องโหว่ในการแพร่กระจายแรนซัมแวร์ผ่านทางผู้ให้บริการคลาวด์
สำนักงานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Cisa) กล่าวว่า พวกเขากำลังติดตามดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและทำงานร่วมกับเอฟบีไอ พร้อม “ให้คำแนะนำกับ Kaseya เพื่อสั่งปิดเซิร์ฟเวอร์ผู้ดูแลระบบเสมือนโดยทันที”
นาย Fred Voccola ผู้บริหารระดับสูงของ Kaseya กล่าวว่าบริษัทสามารถระบุหาแหล่งที่มาของช่องโหว่นี้พบแล้วและจะเริ่ม “ปล่อยโปรแกรมแก้ไขโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้งานระบบได้อีกครั้ง”
นาย John Hammond จากบริษัทรักษาความปลอดภัย Huntress Labs ตั้งข้อสังเกตุว่า อาจมีผู้ให้บริการอีกจำนวนหนึ่ง (บริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที) ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี ransomware และถูกเข้ารหัสเครือข่ายไว้จนกว่าเหยื่อจะจ่ายเงินให้กับแฮ็กเกอร์
“เป็นไปเป็นได้ว่าสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กหลายพันแห่ง” Hammond กล่าว
Voccola กล่าวว่า แม้จะมีลูกค้า Kaseya น้อยกว่า 40 รายที่ได้รับผลกระทบการถูกโจมตี แต่ ransomware ก็อาจส่งผลกระทบไปยังบริษัทอื่น ๆ อีกหลายร้อยแห่งที่พึ่งพาลูกค้าของ Kaseya ซึ่งให้บริการด้านไอทีในวงกว้าง
Voccola กล่าวว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ดำเนินการศูนย์ข้อมูลของตนเอง ถึงแม้ว่า Kaseya จะปิดเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนแล้วก็ตาม เขากล่าว
เมื่อวันที่ 3 กรกฏาคมที่ผ่านมานาย Lex Moskovski หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนด้านคริปโตได้แชร์กราฟข้อมูลของ Glassnode ที่แสดงให้เห็นว่า นักลงทุน Bitcoin ETF ของแคนาดายังคงเชื่อมั่นในตัว Bitcoin แม้ช่วงตลาดขาลง
กราฟดังกล่าวนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกองทุน Bitcoin ETF ของแคนาดาซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยแสดงให้เห็นว่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น นักลงทุน Bitcoin ETF กำลังช้อนซื้อหุ้นเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เมื่อตลาดมีการย่อตัว
ราคาร่วงไม่เกรงใจนักลงทุน
ราคา Bitcoin นั้นได้พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในเดือนเมษายนของปีนี้ แต่ทว่าภายหลังจากนั้นราคาก็ได้ปรับตัวร่วงลงอย่างรวดเร็ว เมื่อ CEO ของ Tesla นาย Elon Musk ได้ออกมาทวีตว่า บริษัทของเขาจะไม่รับ BTC สำหรับการชำระเงินอีกต่อไป เนื่องจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงข่าวการปราบปรามการขุดคริปโตของรัฐบาลจีนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโต
ราคา Bitcoin ได้ร่วงลงจากระดับสูงสุดที่ 63,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือนเมษายน และตอนนี้มีการซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 34,000 ดอลลาร์ ถึงกระนั้นการร่วงลงของของตลาดก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนในแคนาดารู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
ในเดือนมิถุนายนหุ้นกองทุน Purpose Bitcoin ETF ของแคนาดาที่มีการถือครองโดยนักลงทุนได้เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 19,692.149 BTC ในขณะที่ราคา Bitcoin กลับร่วงสวนทางลงไปอยู่ที่ประมาณ 36,000 ดอลลาร์หรือคิดเป็นมูลค่าที่ร่วงลงเกือบครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนเมษายน
Bitcoin ETF
Purpose Bitcoin ETF นั้นถือเป็นกองทุน Bitcoin ETF ตัวแรกในแคนาดาและในอเมริกาเหนือ
“เมื่อเราเปิดตัว Purpose Bitcoin ETF เรารู้สึกว่าเรากำลังเติมเต็มช่องว่างในตลาด การบรรลุเป้าหมายนี้อย่างรวดเร็วพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นักลงทุนกำลังมองหาความสะดวกและปลอดภัยในการเข้าถึง cryptocurrency และแสดงความมั่นใจใน ETF ของเรา” นาย Som Seif ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Purpose Investments Inc. กล่าวในแถลงการณ์
การอนุมัติข้อเสนอ Bitcoin ETF ในแคนาดาคาดว่าเป็นการกระตุ้นให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอเมริกาทำในสิ่งเดียวกันกับพวกเขา แต่จนถึงปัจจุบันหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้ให้การอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF กับผู้สมัครรายใดแม้แต่รายเดียว
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้นาง Hester Peirce กรรมาธิการ ก.ล.ต. ได้กล่าวให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่า “ฉันคิดว่าหากเราใช้มาตรฐานของเรากับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เราจะสามารถอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF ได้อย่างน้อยหนึ่งรายการ”
Peirce ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้มีการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดคริปโตนั้นไปเปลี่ยนไปแล้ว Bitcoin ได้เติบโตอย่างเต็มที่ ด้วยการมีส่วนร่วมมากขึ้นจากสถาบันและนักลงทุนในกระแสหลัก