คำศัพท์น่ารู้ของญี่ปุ่น

ในครั้งนี้เราจะมากล่าวถึง10คำศัพท์น่ารู้ของญี่ปุ่นที่ยังใช้กันประจำ ซึ่งบางคำอาจมีเค้าโครงเดิมจากอดีตกันบ้างหรืออาจเป็นคำใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันแล้วพบเห็นได้ทั่วไปทั้งในการทำงาน การท่องเที่ยว และการใช้ชีวิตประจำวัน มาทดสอบกันว่า10ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้คุณรู้จักอยู่กี่คำ
นัตโต (Nattou) 納豆 (なっとう)
ความหมาย = นัตโต คือถั่วเน่า อาหารของญี่ปุ่น
นัตโตหรือถั่วเน่าญี่ปุ่นนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวญี่ปุ่น กินกันทั่วประเทศแต่เป็นที่นิยมตั้งแต่ทางตอนเหนือของคันโตขึ้นไปค่ะ เป็นอาหารซึ่งเกิดจากการนำเอาถั่วไปหมักกับแบคทีเรียดีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Bacillus subtilis ทำให้เกิดลักษณะเม็ดถั่วมีกลิ่นแรง มีเส้นยืดเหนียวๆโดยรอบ เมนูกลิ่นแรงรสอร่อยนี้หากเปรียบเทียบกับอาหารไทยก็คงเหมือนปลาร้าบ้านเรา ที่แม้แต่ชาวไทยเองก็ใช่ว่าทุกคนจะรับประทานได้ ต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วยค่ะ นับว่าเป็นอาหารที่รับประทานยากทั้งสำหรับชาวต่างชาติอย่างเราและชาวญี่ปุ่นเองเลย

โดยทั่วไปแล้วคนญี่ปุ่นมักรับประทานนัตโตกับข้าวสวยร้อนๆพร้อมด้วยโชยุค่ะ หรือนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารอื่นๆเพิ่มเติม เช่นซูชินัตโต ข้าวปั้นนัตโต เป็นต้น แต่สำหรับวิธีรับประทานของมือใหม่นั้นควรทานเคียงกับมัสตาร์ด หัวไชเท้าฝาน และวาซาบิเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และการรับรสบางประการที่อาจทำให้รู้สึกว่ารับประทานนัตโตะได้ยาก จึงจะสามารถทำให้รับประทานได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

jumbo jili

โออิชี่ (Oishii) 美味しい (おいしい)
ความหมาย = อร่อย
โออิชี่เป็นคำพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นและอุทานหรือบรรยายถึงรสชาติอาหารอร่อย ถ้าพิจารณาจากตัวคันจินั้น โออิชี่จะมาจากการประกอบคำว่า 美 (บิ) ที่แปลว่างดงามสวยงาม และ 味 (อะจิ) ที่แปลว่ารสชาติ พอรวมกันมักจะอ่านได้ว่า บิมิ
ส่วนการออกเสียงว่า โออิชี่ มาจาก 美し (อิชิ) ซึ่งอดีตแปลว่าสวยงาม แต่หลังจากยุคเอโดะเป็นต้นมา คำนี้ถูกใช้ในการชมว่าอาหารอร่อยด้วย (แต่เป็นคำสำหรับผู้หญิงเป็นหลัก) โดยใช้ในการพูดถึงรสชาติอาหารอร่อยที่ตนได้สัมผัสเอง ตามสมัยนิยมจึงได้มีการลากเสียงยาม เติมอิลงท้ายแบบภาษาพูดของผู้หญิงญี่ปุ่น กลายเป็นคำว่า いしい (อิชี่) นำมาเติม お (โอ) ซึ่งปกติใช้วางหน้าคำที่ต้องการยกย่องให้มีความสุภาพหรือเป็นทางการยิ่งขึ้น กลายเป็นคำว่า おいしい (โออิชี่) ที่มีความหมายทางการในการใช้ทั่วไป
แต่ใช่ว่าจะมีแต่คำว่าโออิชี่ที่แปลว่าอาหารรสชาติอร่อยเพียงแค่คำเดียวนะ ยังมีอีกคำที่ออกไปทางภาษาพูดเสียมากกว่าที่มีความหมายตรงกัน คือคำว่า “うまい อุไม” เป็นคำสบายๆที่เป็นทางการน้อยกว่า
ตัวอย่างประโยค = ラーメンが美味しかったです。(ramen ga oishikatta desu) ราเมงอร่อยมากค่ะ
อิคิไก (Ikigai) 生き甲斐 (いきがい)ความหมาย = อิคิไก คือ หลักในการดำเนินชีวิตแบบหนึ่งของคนญี่ปุ่น
อิคิไกเป็นอีกหนึ่งหลักการในการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่งของคนญี่ปุ่นค่ะ พื้นฐานมาจากคำว่า 生き (อิคิ) ที่แปลว่าชีวิตหรือการใช้ชีวิต และคำว่า 甲斐 (ไก) ที่แปลว่าเหตุผล เมื่อนำสองคำนี้รวมกันจึงอาจแปลได้ว่า เหตุผลของการใช้ชีวิตหรือเหตุผลของการมีชีวิตนั่นเอง

สล็อต

โดยพื้นฐานความคิดหลักอิคิไกนั้นคือการใช้ชีวิตของตนเองตั้งแต่ลืมตาตื่นมาในตอนเช้าให้มีความสุขในทุกๆวัน ซึ่งเป็นพิจารณาตั้งคำถามแล้วตอบตนเองจาก4องค์ประกอบหลักว่า
1 อะไรคือสิ่งที่คุณทำได้อย่างดี ในขณะเดียวกันก็ทำให้คุณความสุขที่จะทำด้วย?
2 อะไรคือสิ่งที่โลกต้องการแล้วคุณเองก็มีความสุขที่จะกระทำ?
3 อะไรคือสิ่งที่สร้างประโยชน์(เงิน)ให้กับเรา แล้วโลกก็ยังคงต้องการ?
4 อะไรคือคือสิ่งที่เราทำได้ดี แล้วก็สร้างรายได้ให้กับเราด้วย?
หากคุณตอบคำถามดังกล่าวแล้วขาดประเด็นใดไป ก็ถือว่าคุณยังปฏิบัติได้ไม่ครบตามหลักแนวคิดของอิคิไกนะ

คำถามจากแนวคิด4องค์ประกอบนี้คนญี่ปุ่นนำไปปรับใช้ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในการวางแผนชิวิตและการทำงานซะเยอะ และมักแทรกซึมมาเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานในบริษัทญี่ปุ่นด้วย เช่น ทำอย่างไรให้ทำงานแล้วมีความสุขและบริษัทเองก็ได้รับประโยชน์ด้วย
หากใครได้ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น รับรองได้ว่าคุณจะพบกับบุคคลไม่น้อยเลยที่รู้จักคำว่าอิคิไก หรือนำหลักอิคิไกมาใช้ในการทำงาน

ฮานามิ (Hanami) 花見 (はなみ)
ความหมาย = ฮานามิ คือ เทศกาลชมดอกไม้และซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ฮานามิมาจากคันจิสองคำที่รวมกันคือ 花 (ฮานะ) ที่แปลว่าดอกไม้ และ 見る (มิรุ) ที่แปลว่าดูหรือมอง หากนำสองคำนี้มารวมกันอาจแปลได้ว่าการชมดอกไม้ ไม่ใช่ซากุระอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ในหลายกรณีก็จะหมายถึงซากุระเป็นหลัก

สล็อตออนไลน์

เนื่องจากฮานามิถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ช่วงรอยต่อสมัยนาระถึงสมัยเฮอัน (ประมาณตอนปลายศตวรรษที่ 8 ถึงต้นศตวรรษที่ 9) เป็นกิจกรรมของขุนนางเป็นหลัก และด้วยปัจจัยหลากหลายด้านทำให้ดอกซากุระกลายเป็นดอกไม้หลักที่ชมกันในงานฮานามิ เพราะสมัยก่อนนั้นต้นซากุระจะปลูกแค่เพียงในพระราชวังกับบ้านขุนนางเท่านั้น (เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงฐานะตระกูลในสมัยก่อน)

แต่กว่าจะมาเป็นดอกซากุระให้เราชมทั่วเมืองได้แบบทุกวันนี้ ต้องผ่านการพัฒนาและปรับปรุงสายพันธ์อย่างหนัก (สายพันธ์โซเมอิโยชิโนะที่เราเห็นกันมากที่สุดนั้่น จริงๆเพิ่งเกิดมาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น) แถมช่วงปลายเอโดะยังมีการเผาทำลายซากุระเพราะถือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจขุนนางอีกด้วย ทำให้มีช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ซากุระลดจำนวนลงบ้าง
ในปัจจุบัน คุณค่าอีกด้านที่จับต้องได้สำหรับการชมซากุระคือการได้ไปทำกิจกรรมชมดอกไม้กันทั้งครอบครัวหรือคนที่รัก ได้ใช้เวลาดีๆในช่วงเวลาที่ดีใต้ต้นดอกซากุระนั่นเอง เทศกาลการชมดอกซากุระจึงมีความหมายมากกว่าแค่การไปชื่นชมดอกไม้ที่ผลิบาน

โอโมะเตะนาชิ (Omotenashi) おもてなし
ความหมาย = โอโมะเตะนาชิ คือ วิถีการบริการด้วยใจสไตล์ญี่ปุ่น
สำหรับคนที่ทำงานด้านต้อนรับ ทั้งงานบริการ งานร้านอาหาร หรือโรงแรม อาจจะคุ้นหูกับคำนี้อยู่บ้าง เพราะโอโมเตะนาชิคือหลักการบริการด้วยใจแบบญี่ปุ่นที่เป็นหัวใจหลักในการทำงานด้านบริการเลย ซึ่งเป็นมารยาททางธุรกิจบริการที่ควรทราบอย่างยิ่ง โดยมีหัวใจหลักในการทำงานง่ายๆคือการต้อนรับและดูแลลูกค้าเสมือนเขาเป็นญาติมิตรหรือคนในครอบครัว

jumboslot

ของเราอย่างจริงใจ ซึ่งแตกต่างการบริการลูกค้าทั่วไปที่มองว่าลูกค้าคือพระเจ้า (ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง)
เราต้องการได้บริการแบบใดกับตนเอง ก็ให้เสนอการบริการแบบเดียวกันให้กับลูกค้า ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยที่อาจสร้างปัญหาขณะที่ลูกค้าใช้บริการได้ แล้วอำนวยความสะดวกกับลูกค้าแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย ให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ นำมาสู่การกลับใช้บริการครั้งต่อไป

มังงะ (Manga) 漫画 (まんが)
ความหมาย = มังงะ คือ คำเรียกการ์ตูนแบบญี่ปุ่นแบบที่ต้องใช้การอ่านรับเรื่องราว
มังงะเป็นคำที่ไว้เรียกการ์ตูนแบบญี่ปุ่น ไม่ว่าจะลายเส้นมนหรือคม ทั้งแบบสีสดใสหรือขาวดำ แต่จะมีลักษณะที่ตรงกันคือจะมี การแบ่งช่องตอนของเรื่องราวชัดเจน มีบอลลูนคำพูดที่เป็นเอกลักษณ์งานวาดแบบญี่ปุ่น และที่สำคัญคือต้องเป็นสื่อการ์ตูนเล่มๆ ที่เราต้องอ่านเองเท่านั้นนะจึงจะนับว่าเป็นมังงะ การ์ตูนทีวีไม่นับ
หลายคนอาจมองว่ามังงะเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก แต่จริงๆแล้วมังงะมีหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แนวตลก ความรัก กีฬา วัฒนธรรม เสียดสีการเมือง ฯลฯ ลบความคิดที่ว่ามังงะเหมาะสมกับเด็กเท่านั้นไปได้เลย

นอกจากมังงะจะส่งผลต่อความชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้ว ยังมีผลต่ออุตสากรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น อุตสาหกรรมผลิตสื่อญี่ปุ่น (ทั้งการ์ตูนและอื่นๆ) รวมถึงระบบการศึกษาของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยสถานศึกษาหลายแห่งของญี่ปุ่นก็มีคณะและสาขาเกี่ยวกับการวาดมังงะเกิดขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งอาชีพเกี่ยวกับมังงะเองก็มีอัตราการแข่งขันพอสมควรทั้งจากนักเรียนญี่ปุ่นเองรวมถึงนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างชาติ

ด้วยหลากหลายเหตุผลที่กล่าวมานี้เอง มังงะถึงเป็นที่นิยมตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นเองและชาวต่างชาติ ตัวอย่างมังงะยอดนิยมอย่างเช่น ONE PIECE หรือ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน การ์ตูนดังทั้งสองเรื่องยาวที่ไม่รู้จะจบที่เมื่อไหร่เป็นต้น

ซึนเดเระ (Tsundere) ツンデレ (つんでれ)​
ความหมาย = ซึนเดเระ คือ คำที่ไว้เรียกคนที่มีลักษณะปากไม่ตรงกับใจ หรือบุคลิกภายในและภายนอกขัดแย้งกัน
ถ้าใครชอบการ์ตูน ต้องรู้ความหมายของคำนี้แน่ๆ
ใครเคยโดนหาว่าเป็นคนซึนหรือซึนเดเระบ้างคะ? สำหรับคำว่าซึนเดเระนี้มาจากการรวมคำว่า ツンツン (ซึนซึน) ที่แปลว่าร้ายกาจ โมโหร้าย และ デレデレ (เดเระเดเระ) ที่แปลว่าอ่อนหวานหรืออ่อนไหว นำมารวมกันกล่าวถึงบุคลิกของคนที่ปากไม่ตรงกับใจ หรือบุคลิกที่แสดงออกมาแข็งกร้าวไม่เป็นมิตรนักแต่แท้จริงแล้วจิตใจภายในปรารถนาดีแถมอ่อนไหวด้วยซ้ำ
เป็นคำที่เกิดจากความนิยมในตัวละครของมังงะและอนิเมะ ที่มักพบตัวละครที่มีบุคลิกซึนเดเระได้มากมาย แต่เป็นอีกหนึ่งคำที่ฮิตขึ้นมาจากการ์ตูนแต่บางทีก็ถูกนำกลับมาใช้กับบุคคลทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งการนำคำนี้ไปใช้นั้นต้องระมัดระวังเพราะเป็นคำที่ไปได้ทั้งสองทาง อาจจะดูเหมือนเอ็นดูผู้ที่ถูกเรียก หรืออาจกลายเป็นคำแง่ลบ กล่าวหาผู้ถูกเรียกก็ได้ และที่สำคัญคือ เนื่องจากเป็นคำใหม่ แม้แต่คนญี่ปุ่นเองบางคนก็ยังไม่มั่นใจว่าแปลว่าอะไร

slot

โนมิไค (Nomikai) 飲み会 (のみかい)
ความหมาย = โนมิไค คือ คำเรียกการไปดื่มกัน และงานเลี้ยงพบปะกันแบบญี่ปุ่น
โนมิไคหรืองานเลี้ยงพบปะกันแบบญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นที่บางทีชาวต่างชาติอาจเกิดความสับสนกับงานเลี้ยงฉลองทั่วไปค่ะ
โนมิไคเป็นงานเลี้ยงที่ไม่ใช่งานเลี้ยงครั้งใหญ่ในวันสำคัญ แต่เป็นงานเลี้ยงกินดื่มที่มีจุดประสงค์ในการพบปะ สังสรรค์กับเพื่อนทั่วไป คุยกันแลกเปลี่ยนความคิด ละลายพฤติกรรม รวมถึงคุยเรื่องงานก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการนัดพบปะกันของผู้นัด สามารถนัดได้ในวันธรรมดาทั่วไปหลังเลิกงาน

ถึงโนมิไคจะดูไม่เป็นทางการมาก แต่ถ้าเมมเบอร์เป็นผู้ใหญ่ หรือจัดโดยบริษัท ก็จะมีมารยาทในการกินดื่มเยอะเหมือนกันนะ
อย่างเช่น มารยาทพื้นฐานการทักทายกันหรือการที่ผู้นัดต้องมาครบกันก่อนถึงเริ่มงาน หากเป็นโนมิไคที่จัดกับเพื่อนกันเองคงไม่ซีเรียส แต่สำหรับโนมิไคที่จัดในนามของบริษัท หรือมีหัวหน้าอยู่ด้วย ผู้น้อยหรือลูกน้องก็อาจจะต้องเอนเตอร์เทนต์แล้วคอยบริการผู้ใหญ่ของงานทั้งหมด (ทั้งนี้แล้วแต่ความเคร่งของบริษัทด้วย บริษัทที่จะไม่คุยเรื่องงานเลยในโนมิไคก็มี) หรือหากมีธุระสำคัญที่ต้องคุยกันก็ต้องคุยหลังจากอาหารหมดไปแล้วซัก 2ใน3 ส่วนเป็นต้น

ข้อควรระวังหากชวนกันไปกินดื่ม หากมีเอี่ยวกับเรื่องงานก็ไม่ควรดื่มหนักจนไม่ได้สติ หรือแพ้อาหารเครื่องดื่มแบบใดก็ควรบอกกล่าวกันก่อนเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตนะคะ
หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

8 วิธีปฏิบัติตัวเมื่อเจอแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่อนข้างปลอดภัยจากโจรขโมยและอุบัติเหตุต่างๆ แต่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยมาทดแทน และคนญี่ปุ่นก็ชินกับแผ่นดินไหวมากๆ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวแรงๆ ขึ้นมาตอนที่พวกเราอยู่ที่ญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ต้องมีเลยคือสติ หลังจากนั้นให้ดูคนรอบๆ ข้าง ก่อนจะปฏิบัติตามคนรอบข้าง เรามาดูกันว่าควรทำอย่างไรในแต่ละสถานการณ์

  1. ป้องกันตนเอง
    เวลารู้สึกว่าแผ่นดินไหวแรง ให้หาที่หลบโดยระวังไม่ให้อะไรตกใส่หัว จะหลบใต้โต๊ะ หรือจะเอาผ้าห่มคลุมหัวเอาไว้และพยายามหนีไปอยู่ตรงกลางๆ ห้อง และอยู่ห่างจากของที่จะหล่นได้อย่างตู้หรือของแตกได้อย่างโคมไฟหรือกระจกหน้าต่าง

jumbo jili

  1. ปิดแก้ส
    ถ้าทำครัวหรือเปิดแก๊สอยู่ให้รีบปิดแก๊สและดึงปลั๊กเครื่องไฟฟ้าออกให้หมด ภัยที่มักจะเกิดพร้อมๆ แผ่นดินไหวก็คือไฟไหม้นี่แหละ แต่ถ้าเกิดไหวแรงมาก ให้ปกป้องร่างกายของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยดับไฟเมื่อสงบลง
  2. หนีออกข้างนอกอย่างระมัดระวัง
    ถ้าจะหนีออกข้างนอกให้ระวังรอบๆ ตัวโดยเฉพาะของที่จะหล่นลงมาจากข้างบน และห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด ถ้าอยู่ในตึกคอนกรีต ให้เปิดประตูหรือหน้าต่างทิ้งเอาไว้เพื่อเปิดทางหนี เพราะถ้าไหวต่อเนื่องแรงมากๆ อาจจะทำให้โครงสร้างอาคารบิดเบี้ยวจนประตูหรือหน้าต่างอาจจะติดและเปิดไม่ได้

สล็อต

  1. ปกป้องเด็กๆ
    สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการปกป้องเด็กๆ เช่นการอุ้มหรือใช้เบาะหรือผ้าห่มคลุมหัวให้ เพราะเด็กไม่รู้เรื่องและไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ นอกจากนี้เด็กอาจจะเกิดความกลัวจนวิ่งไปมาและเกิดอันตรายได้ ฉะนั้นให้กอดเด็กเอาไว้เพื่อความปลอดภัย
  2. ถ้าอยู่นอกอาคาร

สล็อตออนไลน์

ถ้าอยู่นอกอาหาร ให้วิ่งไปหาที่โล่ง พยายามอยู่ห่างจากกำแพงสูง สะพาน ถนนแคบๆ เนิน และอิฐก่อ เพื่อป้องกันของตกจากด้านบน หรือกำแพงถล่มลงมาทับ กระจกบนตึกอาจจะแตกและหล่นลงมาได้ ควรใช้กระเป๋าหรือของใกล้ตัวปกป้องหัวเอาไว้เพื่อความปลอดภัย

  1. ถ้าขับรถอยู่
    ถ้าขับรถอยู่ให้หยุดรถ และกำพวงมาลัยให้แน่น ระวังไม่เหยียบคันเร่งไปชนคันหน้า หลังจากนั้นให้พยายามขับรถเลี่ยงสี่แยกและจอดรถไว้ที่ด้านซ้ายของถนน พอแผ่นดินหยุดไหวแล้ว ก่อนจะออกจากรถให้ระ

jumboslot

วังรอบๆ ตัว ก่อน ปิดกระจกหน้าต่าง ทิ้งกุญแจเอาไว้อย่างนั้น และเอาเอกสารประกันภัยและของมีค่าติดตัวไปด้วย

  1. ถ้าอยู่ในตึก
    ถ้าอยู่ในอาคารสูง สิ่งแรกเลยคือต้องสงบสติอารมณ์ และรอจนกว่าแผ่นดินจะไหวเบาลง แล้วค่อยเคลื่อนย้าย ถ้าอยู่ในโรงหนัง ให้ก้มลงไปหลบระหว่างเก้าอี้ และถ้าอยู่ในห้าง ให้ระวังตู้โชว์คว่ำหรือกระจกแตก และปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงาน ถ้าอยู่ในลิฟท์ ให้ออกในชั้นที่ใกล้ทีุ่ด และถ้าติดอยู่ในนั้นก็ให้กดปุ่มแจ้งให้คนข้างนอกทราบ และรอความช่วยเหลืออย่างมีสติ

slot

8.ถ้าอยู่ในรถไฟ
ถ้าอยู่ในรถไฟ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานในสถานี อย่าตื่นตระหนก และอย่าพยายามจะออกจากรถไฟเพราะว่าอันตรายมาก ถึงไฟจะดับก็จะมีไฟฉุกเฉิน ฉะนั้นไม่ต้องกลัว ให้จับราวจับให้แน่น และรอเสียงประกาศ ถ้าอยู่ที่สถานี ให้สงบสติอารมณ์และรอฟังเสียงประกาศจากพนักงานเช่นกัน ถึงจะฟังไม่ออกแต่ก็ให้ปฏิบัติตามคนรอบข้าง อย่าแตกตื่น ดินแดนที่แผ่นดินไหวบ่อยที่สุด

เรียนภาษาญี่ปุ่นฟรี ลองถามสำนักงานเขตดูนะ

สำหรับชาวต่างชาติในญี่ปุ่น มีหลายคนที่ไม่ได้มาเพื่อเรียนภาษาโดยเฉพาะ บางคนมาทำงาน ไม่มีเวลา หรือเรียนมหาลัยเป็นภาษาอังกฤษ จะมีเหตุผลใดก็แล้วแต่ ถ้าอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นฟรีๆนอกเวลาเรามีทางเลือกดีๆมาแนะนำค่ะ

ทำไมถึงเรียนฟรี
นี่เป็นหนึ่งในนโยบายที่หลายๆเมืองมี เป็นสวัสดิการง่ายๆรูปแบบนึงที่มีให้กับชาวต่างชาติ โดยผู้สอนส่วนใหญ่ จะเป็นชาวญี่ปุ่นที่อยากทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม บางคนก็อยากคุยกับเพื่อนต่างชาติ หรือบางคนเป็นครูจริงๆเกษียณแล้วมาสอนแก้เบื่อก็มีนะ (คนแก่ญี่ปุ่นไม่ชอบนอนอยู่บ้านเฉยๆ)

jumbo jili

ด้วยเหตุนี้เอง แม้โดยรวมครูจะไม่เก่งเทพเหมือนโรงเรียนภาษา แต่ก็ไม่ได้แย่ แถมประหยัดกว่าไปเรียนที่โรงเรียนเยอะ ตารางเวลาก็อิสระกว่า แถมมีโอกาสได้เพื่อนใหม่ด้วยนะ

ไปหาเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบนี้ได้ที่ไหน
ก่อนอื่นเลย บทความนี้สำหรับคนที่อยู่ญี่ปุ่น หรือใครที่วางแผนจะมาเรียนหรือทำงานเป็นต้น หากมาถึงแล้ว ก่อนอื่นอย่าลืมมองหาสำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอของเมืองที่ตัวเองอยู่

ขั้นตอนแรก เราต้องลองไปสอบถามสำนักงานเขตหรืออำเภอที่เราอาศัย ว่าต้องการเรียนภาษาญี่ปุ่นต้องติดต่อที่ไหน เพราะแต่ละเขตจะติดต่อสถานที่ไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากจะสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานเขต ที่ว่าการอำเภอ หรือศูนย์วัฒนธรรม (Bunka Center) ของเมืองที่เราอยู่

สล็อต

และถ้าบังเอิญใครพักใน 23 เขตปกครองพิเศษของโตเกียว สามารถเข้าไปเช็คคลาสเรียนได้ที่นี่เลย Tokyo Nihongo Volunteer Network และสามารถเข้าไปสอบถามและสมัครได้ที่สถานที่จัดสอนได้โดยตรง โดยเจ้าหน้าที่จะมีคลาสให้เลือกตามวัน เวลา และสถานที่ที่ผู้เรียนสะดวก

ตัวอย่าง: เขตชินจูกุ
สำหรับเขตหรืออำเภอใหญ่ๆ ที่ชาวต่างชาติอยู่กันเยอะๆ อย่างเช่นเขตชินจุกุ มักจะมีสถานที่ทำกิจกรรมของชาวต่างชาติโดยเฉพาะ อย่างเช่นที่เขตชินจูกุจะมีอยู่ที่ศูนย์ Shinjuku Multicultural Center (ปัจจุบันอยู่ที่ ชั้น11 ตึกเดียวกับโรงพยาบาล Okubo) สถานที่แบบนี้นอกจากจะมีคอร์สเรียนภาษาแล้ว ก็อาจจะมีกิจกรรมอื่นๆที่มีประโยชน์กับชาวต่างชาติอย่างเราๆด้วย เช่นหางานพาร์ทไทม์ หาเพื่อน ทำกิจกรรมวันเสาร์อาทิตย์ เป็นต้น

สล็อตออนไลน์

แต่ช่วงเวลาอาจจะปรับยืดหยุ่นได้ ขึ้นอยู่กับคลาสนั้นๆ วันและเวลาสอนก็แตกต่างกันไป มีทั้งเรียนสัปดาห์ละวันหรือมากกว่า มีให้เลือกทั้งคลาสตอนเช้าหรือคลาสตอนเย็น มีหลากหลายคลาสให้เราเลือกได้ตามความสะดวกของผู้เรียน อย่างเช่นถ้าเป็นคนทำงานก็เลือกคลาสเสาร์อาทิตย์ ถ้าเป็นแม่บ้านก็เลือกคลาสตอนกลางวันของวันธรรมดา เป็นต้น
บางที่อาจจะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเป็นรายเทอม เทอมละ2000-4000เยน แต่ก็ยังนับว่าถูกมาก

การสอนจะสอนประมาณวันละ2ชม. แต่ละคลาสจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆอีกที เพื่อแบ่งระดับความรู้ของนักเรียน จะนั่งกันโต๊ะละน้อยๆ ประมาณ 1-5คน ใครที่พอรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างก็จะนั่งกลุ่มนึง ใครที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยไม่เคยเรียนมาก่อนก็จะนั่งอีกกลุ่ม เพื่อความสะดวกในการสอน

jumboslot

แล้วแต่คลาส บางที่อาจจะมีกิจกรรมสนุกๆให้เราทำ เช่นเมื่อถึงฤดูร้อนคนญี่ปุ่นก็มักจะใส่ชุดยูกาตะไปดูดอกไม้ไฟ คุณครูก็อาจจะนำชุดยูกาตะมาให้เราลองใส่ถ่ายรูปเก็บไว้กับเพื่อนๆ หรือมีกิจกรรมที่ให้นักเรียนนำอาหารของประเทศตัวเองมาทำกินร่วมกันกับอาหารจากชาติอื่นๆ เป็นต้น ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน ได้พูดคุยกัน รับรองว่าถ้าได้เรียนนอกจากจะได้รู้ภาษาญี่ปุ่นแล้วยังได้อะไรดีๆอีกหลายอย่างนอกจากภาษากลับไปแน่นอน

เรียนญี่ปุ่นแบบนี้มีข้อเสียมั้ย
ข้อเสียของคลาสแบบนี้ก็คือ เนื่องจากสอนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย (หรือถูกมาก) หลายๆที่คนจะเยอะแค่วันแรกๆ หลังจากนั้นจะเริ่มหายไปทีละคนสองคน จนท้ายๆเทอมคุณครูจะเหงามาก เพราะสอนฟรีไม่บังคับผู้เรียนนักเรียนก็เลยค่อยๆหายไปเรื่อยๆ เพราะงั้นก็จะเงียบเหงากว่าโรงเรียนภาษาทั่วๆไปหน่อย

slot

นอกจากนี้ เนื่องจากครูทุกคนไม่ได้เป็นมืออาชีพ บางคนก็เป็นแค่คนญี่ปุ่นที่ไม่ได้เคยเป็นอาจารย์ เพราะฉะนั้นคุณภาพก็คงสู้กับโรงเรียนที่เก็บค่าเทอมจริงจังไม่ได้แต่หากต้องการความรู้ขั้นพื้นฐาน หรือฝึกพูดกับคนญี่ปุ่นจริงๆละก็ไม่มีปัญหา

เมื่อเรียนใกล้จบในเทอมนั้นๆ ทางคลาสก็จะมีใบกำหนดการสำหรับคลาสเรียนเทอมต่อไป เราจะเรียนหรือไม่เรียนต่อก็ได้แล้วแต่ความสมัครใจ บางที่ใจดีมีเอกสารส่งมาให้ที่บ้านเราเลยว่ากำหนดการเทอมต่อไปมีอะไรบ้าง ถ้าใครได้เรียนแล้วก็จะได้รับเอกสารเหมือนกันทุกคน คนที่เคยเรียนมาก่อนก็จะสามารถสมัครได้ก่อนด้วย

นอกจากจะได้เรียนภาษาญี่ปุ่น ได้เรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของหลายประเทศ จากเพื่อนต่างชาติอื่นๆ ที่มาร่วมเรียนด้วยกัน ได้เพื่อนใหม่ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นกิจกรรมดีๆสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจจะเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างมาก มาเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นกันค่ะ

6 ศัพท์น่ารู้เกี่ยวกับ subculture ของญี่ปุ่น

วัฒนธรรมย่อยหรือบ subculture ของญี่ปุ่นนั้นน่าสนใจและแพร่หลายเป็นที่รู้จักดีในทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม Otaku หรือ Kawaii ต่างๆ ที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่เราคิด และในวัฒนธรรมย่อยเหล่านั้นก็มีคำเรียกเฉพาะทางที่น่าสนใจอยู่หลายคำ ถ้าอยากรู้จักญี่ปุ่นให้มากขึ้นกว่านี้ เราไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

  1. おたく, ヲタク (โอตาคุ)
    หนึ่งในคำภาษาญี่ปุ่นที่เราได้ยินกันบ่อย ใช้กับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมาก โดยทั่วไปมักเกี่ยวกับอนิเมะและมังงะ เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมย่อยของญี่ปุ่นที่แพร่ไปทั่วโลก ช่วงหลังๆ คำนิยามของ Otaku มีความซับซ้อนมากขึ้น และมีการแตกประเภทของ Otaku ออกไปได้อีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น โอตาคุรถไฟ, โอตาคุแมลง, หรือ โอตาคุทหาร

jumbo jili

  1. 萌え (โมเอะ)
    bunnkeisyuusi.up.n.seesaa.net
    萌え (โมเอะ) เป็นคำแสลงที่มักจะใช้ในการอธิบายอาการหลงใหลอย่างโงห้วไม่ขึ้น ถูกนำมาใช้ในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบอนิเมะหรือมังงะ โดยมีความหมายประมาณว่า น่ารัก! น่ากอดจัง! เป็นต้น

สล็อต

  1. かわいい (คาวาอี้)
    かわいい (คาวาอี้) กลายมาเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกไปแล้ว คำว่า คาวาอี้ ไม่ได้ใช้อธิบายของน่ารักที่แค่ pretty หรือ cute อย่างเด็กเล็กๆ หรือตุ๊กตาน่ารักแต่อย่างเดียว แต่บางทีผู้ชาย ลุง ป้า หรือแม้แต่ของที่ไม่น่ารักเอาซะเลย คนญี่ปุ่นก็สามารถมองมันว่า kawaii ได้เหมือนกัน ซึ่งคนญี่ปุ่นเองยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเป็นเอกลักษณ์ของชาติเลยทีเดียว

สล็อตออนไลน์

  1. 痛車 (Itasha)
    痛車 (Itasha) คำว่า 痛い(itai) แปลว่าเจ็บ และ 車 (sha) แปลว่ารถ เป็นคำเรียกรถที่แต่งโดยการติดสติกเกอร์ด้านนอกรวมถึงการตกแต่งภายในด้วยสติเกอร์รูปคาแรคเตอร์จากอนิเมะหรือมังงะ โดยมากมักจะเป็นคาแรคเตอร์เด็กผู้หญิงน่ารัก นอกจากนี้ยังลามไปถึงการตกแต่งรถจักรยานและเฮลิคอปเตอร์ด้วย!!
    เราสามารถเห็นรถแบบนี้ได้ตาม Akihabara (Tokyo), Nipponbashi (Osaka), หรือ Osu (Nagoya).

jumboslot

  1. コスプレ (คอสเพลย์)
    コスプレ (kosupu-re) หรือ Cosplay ย่อมาจาก コスチューム (Kosuchumu) หรือ Costume ที่แปลว่าการแต่งกาย และ プレイ (purei) หรือ Play ที่แปลว่าเล่น โดยทั่วไป คอสเพลย์หมายถึงการแต่งกายเลียนแบบตัวละครจากในเกมหรือการ์ตูน โดยอาจมีการแสดงท่าทางหรือบุคลิกตามตัวละครนั้นๆ ด้วย คำว่าคอสเพลย์นี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น และกลายมาเป็นคำที่รู้จักไปทั่วโลกว่า Cosplay

slot

  1. 女装 (Joso) 男装 (Danso)
    女装 (Joso) คันจิตัวแรก 女 แปลว่าผู้หญิง และคันจิอีกตัว 装 แปลว่าเสื้อผ้าการแต่งกาย นั่นไม่ได้หมายถึงเสื้อผ้าผู้หญิง แต่หมายถึงผู้ชายที่ต่งตัวเป็นผู้หญิง และก็ไม่ได้แปลว่าเขาชอบผู้ชายจึงแต่งหญิงเสมอไป เพราะบางคนก็แต่งชุดผู้หญิงเป็นงานอดิเรกเท่านั้น กลับกัน ผู้หญิงที่ชอบแต่งเป็นผู้ชายก็จะเรียกว่า 男装 (Danso) ซึ่งเปลี่ยนคันจิตัวแรกจาก 女 (ผู้หญิง) เป็น 男 (ผู้ชาย) นั่นเอง ศึกษาไว้ค่ะอาจได้ใช้กับชีวิตจริง

หาเพื่อนญี่ปุ่นกัน:รู้จักการอ่านชื่อคนญี่ปุ่น

หาเพื่อนญี่ปุ่นกัน:รู้จักการอ่านชื่อคนญี่ปุ่น
ชื่อของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้นมักเขียนโดยใช้ตัวอักษรคันจิ (Kanji) ซึ่งเป็นอักษรชนิดหนึ่งในภาษาญี่ปุ่นที่มีความซับซ้อนที่สุด มีต้นกำเนิดมาจากภาษาจีน ตัวคันจิแต่ละตัวสามารถอ่านออกเสียงได้หลายแบบ เมื่อผสมกันก็ได้หลายความหมาย และนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมักจะมีคำนำหน้าหรือคำต่อท้ายที่หลากหลายอีกด้วย
นอกจากนี้ ก็ขอแถมชื่อนามสกุลยอดฮิตของคนญี่ปุ่นให้อ่านเล่นกัน

ชื่อหรือนามสกุลญี่ปุ่น
ว่าด้วยเรื่องชื่อของคนญี่ปุ่น โดยปกติแล้วทั้งการเรียกชื่อกันในสังคมและเอกสารราชการต่างๆ ใช้เขียนเรียงลำดับนามสกุลไว้ข้างหน้า และชื่อตัวไว้ข้างหลัง
อย่างเช่นอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) ที่เราจะเห็นนิยมเขียนกันในข่าวภาษาไทยและต่างประเทศนั้น การเรียงลำดับที่ถูกต้องแบบญี่ปุ่นจริงๆ คือ อาเบะ ชินโซ (Abe Shinzo)

jumbo jili

โดยในภาษาญี่ปุ่น นามสกุล (อาเบะ) จะมาก่อนชื่อตัว (ชินโซ)
เนื่องจากคนญี่ปุ่นจะเรียกชื่อตัวกันเฉพาะกับคนที่สนิทกันจริงๆ ปกติแล้วจะเรียกนามสกุลของแต่ละคน เท่านั้น แต่ที่เราเห็นเขียนเรียงลำดับชื่อตัวนำหน้า นั่นก็เพราะในยุคปฏิรูปเมจิ (ค.ศ.1868 – 1912) มีการยอมรับแนวคิดและระบบต่างๆ มาจากตะวันตก เกิดการปฏิรูประบบทั้งหลายเพื่อความทันสมัย สอดคล้องกับวัฒนธรรมตะวันตก จึงเกิดธรรมเนียมการเขียนชื่อตัวไว้ข้างหน้า นามสกุลไว้ข้างหลัง แต่อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นได้มีการออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงให้มีการเขียนนามสกุลก่อนชื่อตัวในเอกสารราชการ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ.2020 จากผลสำรวจแบบสอบถามพบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นที่พึงพอใจของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่ต้องการให้เขียนตามแบบวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมเป็น 100 ปีแล้ว แต่สำนักข่าวและสื่อต่างประเทศจะทำตามหรือไม่นั้นก็ไม่อาจทราบได้ แต่ปัจจุบันก็มีสื่อภาษาอังกฤษใหญ่ๆ บางสื่อที่ประกาศว่าจะเขียนแบบใช้นามสกุลขึ้นก่อนตามที่รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการแล้ว อย่างเช่น NHK หรือ The Economist

นอกจากการเขียนเรียงลำดับนามสกุลตามด้วยชื่อตัวอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว คนญี่ปุ่นไม่นิยมเรียกชื่อหรือนามสกุลกันแบบห้วนๆ แต่จะมีคำต่อท้ายชื่อที่มีหลายระดับขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์
1 ซัง (San)
คำว่า “ซัง” หรือในภาษาถิ่นคันไซออกเสียง “ฮัง” หากแปลเป็นไทย คำที่ใกล้เคียงสุดคือ “คุณ” เป็นการเรียกลงท้ายในระดับธรรมดาทั่วไป สามารถใช้เรียกท้ายชื่อคนญี่ปุ่นได้ทุกคน นอกจากนี้ยังใช้เรียกท้ายชื่อของร้านค้าอีกด้วย เช่น ร้านหนังสือหรือฮ่งยะซัง (Honyasan) ในภาษาญี่ปุ่น

สล็อต

2 ซามะ (Sama)
“ซามะ” มีระดับความเคารพที่สูงกว่า “ซัง” และเป็นทางการมากที่สุด และสุภาพที่สุด แปลเป็นไทยได้ว่า “ท่าน” มักใช้เรียกต่อท้ายชื่อลูกค้าในร้านอาหาร แขกผู้มีเกียรติในโณงแรม และพบเห็นได้บ่อยในการส่งอีเมลติดต่องาน ทั้งต่างบริษัทและบริษัทเดียวกันเพื่อเป็นการให้เกียรติ นอกจากนี้ยังใช้เรียกคนในครอบครัวของคนตระกูลผู้ดีอีกด้วย
3 คุง (Kun)
“คุง” เป็นคำต่อท้ายชื่อผู้ชายที่อายุน้อยกว่าหรือเพื่อนที่อายุเท่าๆ กันและมีความสนิทสนมกันแล้ว ถ้าไม่สนิทก็ไม่ควรใช้ นอกจากเรียกผู้ชายแล้วก็สามารถใช้เรียกผู้หญิงได้ด้วย โดยจะเป็นหัวหน้าเรียกลูกน้องที่เป็นผู้หญิง หรือรุ่นพี่เรียกรุ่นน้องที่ทำงาน เป็นต้น
4 จัง (Chan)
“จัง” ใช้เรียกผู้หญิง ปกติใช้เรียกผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า หรือเพื่อนสาวอายุเท่าๆ กันที่สนิทด้วย แต่หากความสัมพันธ์สนิทกันมากก็สามารถใช้เรียกคนที่อายุมากกว่าได้ โดยทั่วไปจะใช้เรียกชื่อจริงหรือชื่อเล่นแล้วตามด้วยจัง

อนกจากนี้ยังใช้กับผู้ชายก็ได้เช่นกัน ถ้าเป็นเด็กผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่า มีความสนิทสนมกันและรู้สึกว่าน่าเอ็นดู รวมไปถึงใช้เรียกคนในครอบครัวด้วย

5 ตัน (Tan)
“ตัน” ใช้เหมือนคำว่า “จัง” ซึ่งคนญี่ปุ่นฟังดูแล้วน่ารัก เป็นภาษาเด็ก ซึ่งเกิดจากเวลาที่เด็กเล็กจะเรียกจัง แต่ยังไม่สามารถออกเสียงได้ชัด จึงผิดเพี้ยนไปเป็นตัน และต่อมาก็นิยมเรียกชื่อเด็กเล็กโดยลงท้ายด้วยตัน

สล็อตออนไลน์

6 โบ (Bou)
“โบ” เป็นคำเรียกลงท้ายชื่อที่แสดงถึงความน่ารักน่าเอ็นดูเช่นเดียวกับ “จัง” หรือเป็นสรรพนามเรียกแทนตัวอีกฝ่าย โดยทั่วไปเป็นคำที่มีเฉพาะเด็กผู้ชายใช้เรียกกัน

7 เซมไป โคไฮ (Senpai, Kohai)
“เซมไป” แปลว่ารุ่นพี่ ใช้เรียกคนที่มีอายุมากกว่าในกลุ่มของตัวเอง เช่นรุ่นพี่ที่โรงเรียน รุ่นพี่ในชมรมกีฬา รุ่นพี่ที่ทำงาน เป็นต้น อาจมีการเรียกต่อท้ายชื่อ นามสกุล หรือเรียกเดี่ยวๆ ก็ย่อมได้

ส่วน “โคไฮ” แปลว่ารุ่นน้อง คือคนที่รุ่นพี่ที่กล่าวไปข้างต้นใช้เรียกคนที่เด็กกว่าตัวเอง

8 เซนเซกับฮากาเสะ (Sensei and Hakase)
“เซนเซ” แปลว่าคุณครู/อาจารย์ โดยทั่วไปเป็นคำที่นักเรียนใช้เรียกผู้สอนหนังสือในโรงเรียน โดยอาจเรียกแค่เซนเซหรือชื่อ นามสกุลของอาจารย์แล้วตามด้วยเซนเซก็ได้ นอกจากนี้ยังเป็นคำที่ใช้เรียกอย่างเป็นการให้เกียรติคนที่เก่งเฉพาะทาง เช่น แพทย์ นักการเมือง และนักเขียนอีกด้วย

ส่วน “ฮากาเสะ” เทียบกับไทยคือศาสตราจารย์ หรือดอกเตอร์ ใช้เรียกผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิตโดยเฉพาะ

jumboslot

9 ชิ (Shi)
“ชิ” แปลว่าคุณ ใช้ในภาษาเขียนที่เป็นทางการอย่างมาก พบเห็นได้ตามข่าวหนังสือพิมพ์ เอกสารสำคัญทางราชการ แบบฟอร์มที่เป็นทางการต่างๆ เป็นต้น และใช้เรียกบุคคลที่ผู้พูดไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน หรือไม่เคยเจอกันมาก่อน

10 โอะ และ โกะ (O and Go)
“โอะ” กับ “โกะ” เป็นคำนำหน้าที่ใช้ในภาษายกย่อง เมื่อพูดถึงอีกฝ่ายที่มีสถานะสูงกว่า เช่น หัวหน้างาน ผู้สูงอายุ ลูกค้า หรือคนที่ไม่สนิทสนมหรือไม่รู้จักกัน ก็จะเติม “โอะ” หรือ “โกะ” หน้าคำนามที่ต้องการเพื่อให้มีความสุภาพมากขึ้นเป็นการยกย่องอีกฝ่าย เช่น
โอเคียคุซัง (Okyakusan) ที่แปลว่าคุณลูกค้า
โอโจ้ซัง (Ojosan) ที่แปลว่าคุณหนู
โกะเรียวชิน (Goryoshin) ที่แปลว่าคุณพ่อคุณแม่ เป็นต้น

นามสกุลดังๆ ที่มีคนใช้เยอะที่สุดของญี่ปุ่น
ขอกล่าวถึงอีกเรื่องคือนามสกุลของคนญี่ปุ่น นับว่าน่าสนใจทีเดียว นามสกุลต่าง ๆ ของคนญี่ปุ่นมีความหมายที่สามารถบ่งบอกถึงวัฒนธรรม ศาสนา และสังคมของญี่ปุ่นได้ แม้ว่ามีคนนามสกุลเหมือนกันอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้มีความข้องเกี่ยวหรือเป็นญาติสนิทมิตรสหายไปเสียทั้งหมด แต่ที่นามสกุลเหมือนกันก็เพราะหลังจากยุคปฏิรูปเมจิ คนต้องการได้รับการยอมรับจากสังคมจึงเลือกนามสกุลที่คล้ายๆ กัน มาดู 5 อันดับนามสกุลยอดนิยมของญี่ปุ่นกัน

slot

  1. ซาโต้ (Sato/ 佐藤)
    เป็นนามสกุลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น ในชื่อมีตัวคันจิ 藤 (ฟูจิ) ที่เป็นชื่อดอกไม้ และเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลฟูจิวาระที่เคยเรืองอำนาจในอดีตอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคอาสุกะ (ค.ศ. 538-710) จนถึงช่วงการปฏิวัติเมจิในปี 1868 เคยเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เป็นคล้ายที่ปรึกษาของสมเด็จพระจักรพรรดิ และลูกสาวของตระกูลฟูจิวาระมากมายก็ได้สมรสกับจักรพรรดิญี่ปุ่นด้วย
  2. ซูซูกิ (Suzuki/ 鈴木)
    ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 มีตัวคันจิ 鈴 (ซูซุ) ที่แปลว่ากระดิ่ง ซึ่งศาลเจ้าชินโตมักสั่นกระดิ่งเพื่อบรรเลงดนตรีบูชาเทพเจ้า วัฒนธรรมญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับกระดิ่งเป็นอย่างมาก แน่นอนว่านามสกุลนี้คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะบริษัทรถยนต์ชื่อดังนั่นเอง ซึ่งชื่อบริษัทนั้นก็ได้มาจากนามสกุลของผู้ก่อตั้ง
  3. ทาคาฮาชิ (Takahashi/ 高橋)
    อันดับที่ 3 ที่คนนิยม 高橋 (ทาคาฮาชิ) เป็นนามสกุลที่มีที่มาจากสถานที่ แปลว่าสะพานสูง อาจเป็นไปได้ว่าต้นตระกูลมีสถานที่อยู่อาศัยที่อยู่ในพื้นที่สูง หรือบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมเนื่องจากมีอักษรที่มีคำว่า ทาคา (Taka) ที่แปลได้ว่าที่สูง หรือมูลค่าสูง ราคาแพง
  4. ทานากะ (Tanaka/ 田中)
    น่าจะเป็นที่คุ้นหูกันดีสำหรับนามสกุลอันดับที่ 4 田中 (ทานากะ) นั้นก็หมายถึงกลางท้องทุ่งนา อาจทำให้เห็นถึงที่มาของต้นตระกูล อาจเป็นตระกูลชาวนา
  5. วาตานาเบะ (Watanabe/ 渡辺)
    นามสกุลเก่าแก่ที่เชื่อกันว่าได้รับความนิยมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 – 11 ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมของนักรบซามูไรเรืองอำนาจ มีที่มาจากสถานที่เช่นกัน โดยวาตานาเบะหมายถึง จุดข้ามแม่น้ำ เช่นจุดที่มีเรือข้ามฟากให้บริการ ที่มาของนามสกุลอาจมาจากต้นตระกูลที่เป็นนายเรือข้ามฟากก็ได้ คนญี่ปุ๋นจะทำตามวัตนธธรรมของเขาแบบเค่งคัดเสมอ