รู้จักวิธีหาคู่และนัดบอดในญี่ปุ่น กับ “โกคง”

สิ่งที่ทำให้รู้จักกับใครสักคนนั้น นอกจากการทำงานด้วยกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน หรือการเข้าชมรมรวมกลุ่มทำกิจกรรมกันแล้ว การไปนัดบอดแบบญี่ปุ่นหรือ “โกคง” ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้หญิงและผู้ชายได้ทำความรู้จักกันได้ง่ายขึ้นค่ะ

หาแฟนในญี่ปุ่นทำไมต้อง “โกคง”
“โกคง” (合コン) หรือภาษาไทยเราเรียกกันว่า “นัดบอด” คือกิจกรรมหาคู่แบบนึง เป็นการนัดพบปะสำหรับชายหญิง (ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน) เพื่อทำความรู้จักกัน หากถูกใจและมีความสนใจในกันและกัน ก็อาจมีการพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การคบหาดูใจและแต่งงานค่

jumbo jili

การหาคู่แบบนัดบอดของญี่ปุ่น
ผู้อ่านหลายๆท่านคงอาจเคยได้ยินคำนี้มาก่อน หรือเคยเห็นผ่านตาในการ์ตูนญี่ปุ่นที่นางเอกมักจะไปนัดบอดกับกลุ่มเพื่อนๆ แล้วไปเจอกลุ่มหนุ่มหล่อในงานปาร์ตี้ที่มีกลุ่มผู้หญิงกับผู้ชายจำนวนเท่าๆกัน นั่งกินดื่ม คุยทำความรู้จักกันค่ะ นั่นแหละคือ “โกคง” สิ่งที่เห็นในการ์ตูนนี้มีอยู่จริงๆนะเอ้อ!

การนัดบอดนั้นมีหลากหลายรูปแบบมากๆ และคนหลายๆช่วงอายุก็เข้าร่วมการนัดบอดด้วยค่ะ โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยทำงาน ที่ไม่ค่อยได้พบปะหรือมีโอกาสได้เจอกับคนนอกบริษัท แต่คราวนี้เราจะมาแนะนำนัดบอดแบบเป็นอีเว้นท์ ที่มีทีมงานเป็นคนจัด ว่าที่งานนัดบอดนั้นทำอะไรบ้างค่ะ!

วิธีใช้บริการหาคู่หรือนัดบอดในญี่ปุ่น
การเข้าร่วมอีเว้นท์หาคู่แบบนัดบอด อย่างแรกคือหากิจกรรมในเว็บไซท์ค่ะ แน่นอนว่าต้องรู้ภาษาญี่ปุ่น และต้องอยู่ญี่ปุ่นค่ะ มีหลากหลายเว็บให้เลือกเลยเช่น
แอบเข้าไปลองดูได้นะคะ

สล็อต

โดยทุกเว็บนั้นเราสามารถเลือกพื้นที่ที่เราอยู่ และเลือกวันที่เราสามารถไปได้เพื่อที่จะค้นหาอีเว้นท์ที่เราสามารถเข้าร่วมงานได้ค่ะ อีเว้นท์แต่ละอีเว้นท์จะมีเนื้อหากิจกรรม เมนูอาหารและเครื่องดื่มที่แตกต่างกันออกไป

ยกตัวอย่างเช่น อีเว้นท์นัดบอดสำหรับคนที่ชอบการ์ตูน อีเว้นท์นัดบอดเฉพาะคนที่มีเงินเดือนสูง อีเว้นท์นัดบอดสำหรับคนอายุช่วง20-29ปีเท่านั้น เป็นต้น โดยสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้จากการคลิกเข้าไปดู

นอกจากนี้การไปนัดบอดแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนไป คนเดียวก็สามารถไปได้แบบไม่ต้องเขินเลยค่ะ ในอีเว้นท์ส่วนใหญ่จะต้องจ่ายค่าเข้าร่วม โดยราคาจะขึ้นอยู่กับสถานที่ที่จัดเเละเนื้อหาของอีเว้นท์นั้นๆ ผู้หญิงจะราคาถูกหน่อย ประมาณ 500-3000 เยน ส่วนผู้ชายจะแพงกว่า ราคา 5000-9000 เยนค่ะ เมื่อเราเลือกอีเว้นท์ที่ถูกใจเราได้แล้ว เราก็ทำการซื้อบัตรออนไลน์ สามารถเลือกจ่ายได้ทางบัตรเครดิตหรือจ่ายที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วแต่เว็บที่ใช้ แล้วพอถึงวันงานก็แค่ยื่นอีเมล์ยืนยันให้ทีมงานดู ก็เรียบร้อย สามารถเข้าร่วมงานได้สบายๆเลย

สล็อตออนไลน์

ตัวอย่างงานอีเว้นท์หาคู่ แบบคุยกัน 1-1
ตัวอย่างที่ๆไปมา เมื่อไปถึงที่จัดงานแล้วพนักงานก็จะให้หมายเลขของเรา พร้อมกระดาษมาหนึ่งใบค่ะ ทุกคนจะได้เหมือนกันหมด ในกระดาษนั้นจะมีให้กรอกชื่อ อายุ ความสนใจ งานอดิเรก ที่อยู่คร่าวๆว่าอยู่แถวไหน วันหยุดวันไหนบ้าง ทำงานอะไร สเปคเป็นแบบไหนเป็นต้น (แล้วแต่อีเว้นท์นะคะ บางทีก็ละเอียดถึงเงินเดือนเดือนละเท่าไหร่ก็มีค่ะ)

โดยจะจัดที่นั่งโดยให้ชายหญิงนั่งตรงข้ามกัน คุยกันแบบ1-1 (แต่บางทีก็มีคุยกันแบบหลายๆคน หรือคุยกับคนข้างๆบ้างค่ะแล้วแต่บทสนทนาในตอนนั้น ส่วนอีเว้นท์ที่มีคนเข้าร่วมมากถึง100คนอาจจะได้นั่งเป็นโต้ะรวม และอาจไม่ได้คุยครบทุกคนนะคะ) ในขณะที่คุยก็จะนำกระดาษข้อมูลของเราที่เขียนนั้นให้อีกฝ่ายดูไปด้วย การคุยทุกรอบจะมีการจับเวลา พอเมื่อจบเวลาก็จะมีการสลับคู่ไปเรื่อยๆค่ะ เพื่อให้เราได้คุยกับทุกคนในงาน (ผู้ชายจะวนไปเรื่อยๆ ส่วนผู้หญิงนั่งอยู่กับที่ค่ะ) หากถูกใจกันและอยากคุยต่อก็จะมีการขอแลกไลน์กันค่ะ ส่วนอาหารและเครื่องดื่มนั้นจัดเต็มมากๆ เครื่องดื่มสามารถดื่มได้ไม่อั้น (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มี อิอิ)

jumboslot

พอได้คุยกับทุกคนแล้วและหมดเวลางานเลี้ยง ก็จบงานนัดบอดค่ะ สำหรับงานนัดบอดที่เราได้ไปเข้าร่วมมานั้น มีกิจกรรมจับคู่ในตอนสุดท้ายด้วย โดยจะให้ทุกคนทั้งชายและหญิงเขียนหมายเลขของฝ่ายตรงข้ามที่ชอบ ถ้าหากว่าต่างฝ่ายต่างเลือกกันก็จะได้รางวัลพิเศษด้วย (ไม่ได้มีทุกงานนะคะ แล้วแต่ทีมงานว่ามีกิจกรรมนี้หรือไม่) โดยคนที่ถูกใจกันหรืออยากคุยกันเพิ่มเติมก็มักจะไปหาร้านอื่นทานข้าวหรือดื่มกันต่อรอบสองเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้นค่ะ

สรุปเรื่องการนัดบอดในญี่ป่น
การนัดบอดแบบ “โกคง” ที่ใช้บริการเว็บตัวอย่างเหล่านี้ ค่อนข้างปลอดภัยค่ะ เนื่องจากมีทีมงานคอยดูแล คนที่ไปคนเดียวก็ไม่ต้องเขินด้วย แถมสถานที่ๆจัดก็จะไม่ใช่ที่อโคจรหรือสถานที่อันตราย แต่ข้อเสีย

slot

คือทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ ถ้าหากไม่ค่อยได้ภาษาญี่ปุ่นก็จะลำบากในการทำความรู้จักฝ่ายตรงข้าม เพราะว่าจะต้องเจอกับคนหลากหลายรูปแบบหลากหลายอาชีพ ศัพท์ยากๆหรือความเร็วในการพูดแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย ใช่ว่าทุกคนจะพูดช้าๆให้เราฟังนะ

ส่วนข้อดี นอกจากจะได้ดื่มไม่อั้น (5555) ก็ยังได้รู้จักคนใหม่ๆและเรียนรู้เรื่องต่างๆเกี่ยวกับชีวิตคนญี่ปุ่นเยอะแยะเลยค่ะ ถึงแม้ว่ากับบางคนจะไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นคนรัก แต่ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้เนอะ ใคร ที่อยากมีแฟนหรือมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นก็ลองมางานนัดบอดกันสักครั้งนะคะ ^^ หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

สนุกไปกับการเที่ยวโอกินาว่า 5 สไตล์ในฤดูร้อน

โอกินาว่าถึอเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของทุกคนในช่วงฤดูร้อน ที่ใครๆ ก็อยากเดินทางมาสัมผัสกับความสวยงามของท้องทะเลสีคราม โดยวันนี้เราจะแนะนำการท่องเที่ยวโอกินาว่าใน 5 รูปแบบที่มีทั้งการสนุกกับกิจกรรมทางน้ำ การเช่ารถขับ การชิมอาหารท้องถิ่นสแสนอร่อย การศึกษาวัฒนธรรมริวกิว และปิดท้ายด้วยการเรียนรู้เรื่องราวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

  1. เพลิดเพลินกับกิจกรรมทางน้ำหลากหลายรูปแบบ
    เป้าหมายอนดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางไปโอกินาว่าคงเป็นการเดินทางไปสัมผัสกับความสวยงามของท้องทะเลและชายหาดของโอกินาว่า และสนุกกับกิจกรรมทางน้ำหลากหลายรูปแบบ

jumbo jili

ตั้งแต่เล่นน้ำบริเวณชายหาด ซึ่งโอกินาว่านั้นมีหาดสวยๆ อยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นหาดมันซะ (Manza Beach) หนึ่งในหาดยอดฮิตของโอกินาว่า หาดเอเมรัลด์ (Emerald Beach) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุระอุมิ (Okinawa Churaumi Aquarium) และหาดมูนบีช (Moon Beach) ที่มีเอกลักษณ์ตรงรูปทรงของหาดที่โค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งชายหาดทุกแห่งมีจุดเด่นตรงที่มีหาดทรายสวย น้ำทะเลใส และยังมีกิจกรรมสนุกแบบอื่นๆ ให้เลือกทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำแบบสน็อกเกิ้ล เล่นพาราเซลลิ่ง หรือเจ๊ทสกี

โอกินาว่ายังเป็นสวรรค์ของคนรักการดำน้ำ โดยมีจุดดำน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก และในแต่ละฤดูกาลก็จะได้สัมผัสกับความสวยงามของโลกใต้น้ำที่แตกต่างกันไป เช่นจุดดำน้ำบริเวณแหลมมาเอดะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่ดีที่สุดบนเกาะหลักของโอกินาว่า มีทั้งถ้ำสีน้ำเงิน หน้าผาใต้น้ำ ฝูงปลาหลากหลายชนิด และแนวปะการัง และยังมีโอกาสได้พบกับเต่าทะเลอีกด้วย และยังมีจุดดำน้ำอีกแห่งที่ถือเป็นไฮไลท์ของโอกินาว่า นั่นคือจุดดำน้ำบนเกาะโยนากุนิ (Yonaguni Island) ซึ่งจะได้พบกับซากอารยธรรมลึกลับใต้ทะเลขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีคำตอบว่าซากอาคารเหล่านี้มีความเป็นมาอย่างไร แล้วใครเป็นผู้สร้าง

สล็อต

  1. เช่าบเที่ยวรอบเกาะ
    แม้ว่าเกาะโอกินาว่าจะดูเหมือนมีระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม ทั้งรถโมโนเรลในตัวเมืองนาฮา และรถบัสที่วิ่งไปยังจุดต่างๆ รอบเกาะ แต่รอบรถบัสเองก็มีค่อนข้างน้อย และยังมีเวลาให้บริการที่จำกัด ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมเช่ารถขับเพื่อท่องเที่ยวโอกินาว่าอย่างสะดวกสบาย โดยนอกจากจะมีข้อดีตรงที่สามารถแวะเที่ยวสถานที่ต่างๆ ได้ตามที่ตัวเองต้องการแล้ว ถนนสายต่างๆ บนเกาะโอกินาว่ายังมีบรรยากาศที่น่าประทับใจจากการขับรถกินลม และชมความสวยงามของวิวท้องทะเลระหว่างทาง

ตัวอย่างของเส้นทางสวยๆ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อเช่ารถขับที่โอกินาว่า เช่นทางหลวงหมายเลข 58 ซึ่งเป็นเส้นทางขับรถจากบริเวณตอนกลางของเกาะไปจนถึงตอนเหนือสุดของเกาะ และเป็นถนนหลักที่วิ่งเลียบชา สำรวจยทะเลแทบจะตลอดเส้นทาง จึงมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศสวยๆ ตลอดเวลา หรือบริเวณสะพานโคริ (Kouri Bridge) ที่เชื่อมระหว่างเกาะโคริ (Kori Island) กับเกาะโอกินาว่า ซึ่งเป็นสะพานที่ทอดยาวกลางท้องทะเลสีเขียวมรกตตัดกับฟ้าสีครามที่มอบบรรยากาศสุดประทับใจ

สล็อตออนไลน์

  1. ชิมอาหารท้องถิ่นสไตล์โอกินาว่า
    นอกจากท้องทะเลและชายหาดแล้ว โอกินาว่ายังมีจุดเด่นเรื่องวัฒนธรรมอาหารการกินที่มีเอกลักษณ์ และไม่เหมือนกับที่ไหนๆ ในญี่ปุ่น โดยเมนูส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เนื่องจากประวัติศาสตร์ในอดีตของโอกินาว่านั้นมีการติดต่อค้าขายกับจีนอยู่ตลอดเวลา โดยหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อที่พบเห็นได้ทั่วไปก็คือราฟุเท (Rafutei) หรือหมูตุ๋นสไตล์โอกินาว่า ซึ่งทำจากหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ นำไปตุ๋นกับเหล้า โชยุ และน้ำตาลทรายแดง จนเนื้อนุ่ม เปื่อยถึงขนาดที่ใช้ตะเกียบฉีกเนื้อได้ และสามารถทานคู่กับข้าวสวย และยังเอาไปประกอบเมนูอื่นได้อีกหลากหลายเมนู รวมไปถึงโอเด้งสไตล์โอกินาว่าเองก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือโซกิโซบะ (Soki Soba) ซึ่งคำว่า โซกิ (Soki) เป็นภาษาท้องถิ่นที่หมายถึงซี่โครงหมู ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเมนูนี้ และนำมารวมกับบะหมี่น้ำหรือโซบะ (Soba) สไตล์โอกินาว่า โดยจุดเด่นคือน้ำซุปที่ใส และหน้าตารวมๆ ของเมนูนี้ที่อาจจะดูเรียบง่ายและธรรมดา แต่มีรสชาติที่ซับซ้อน และร้านแต่ละร้านก็มีสูตรที่แตกต่างกันไป หากยังไม่จุใจ ก็ยังมีโกยะ ชัมปุรุ (Goya Champuru) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูที่หาทานได้แทบทุกร้านในโอกินาว่า โดยความหมายทั่วไปแล้วเมนูนี้จะหมายถึงการนำวัตถุดิบต่างๆ มาผัดรวมกัน แต่สูตรที่พบเห็นทั่วไปจะเป็นการนำมะระ ไข่ เนื้อหมู และเต้าหู้มาผัดรวมกัน

jumboslot

  1. สัมผัสวัฒนธรรมริวกิว
    โอกินาว่าถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้ที่อื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่น จากการเป็นอาณาจักรริวกิวอันยิ่งใหญ่ในอดีต ซึ่งส่งผลให้มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ และหลายอย่างก็ยังคงหลงเหลือให้สัมผัสมาจนถึงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างปราสาทชูริ (Shuri Castle) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองในอดีต และมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมริวกิวได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้าร่วมหรือสัมผัสกับรูปแบบวัฒนธรรมริวกิวอย่างใกล้ชิดผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่นที่หมู่บ้านเครื่องแก้วริวกิว (Ryukyu Glass Village) ซึ่งนำเสนอศิลปะเป่าแก้วอันเป็นเอกลักษณ์ของโอกินาว่าที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่ค.ศ.1600 เมื่อจีนส่งเครื่องแก้วเข้ามาพร้อมสินค้าอื่นๆ และยังมีเวิร์คช้อปให้ร่วมทำเครื่องแก้วได้ด้วยตัวเอง และยังมีโอกินาวะเวิลด์ (Okinawa World) สวนสนุกที่ตกแต่งและเน้นถึงเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมริวกิว ซึ่งมีทั้งหมู่บ้านโบราณแบบจำลอง การแสดงท้องถิ่น และเรื่องราวของวัฒนธรรมริวกิวแทบทุกมุม

slot

  1. เรียนรู้ประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
    โอกินาว่าเคยเป็นสมรภูมิรบแห่งสุดท้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยตำแหน่งที่ตั้งซึ่งไม่ไกลจากประเทศใกล้เคียงอย่างไต้หวันหรือฟิลิปปินส์ ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ จนนำมาสู่การที่กองทัพอเมริกาต้องยกพลขึ้นบกที่นี่ โดยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญบนเกาะโอกินาว่าที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องราวอันโหดร้ายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือสวนแห่งสันติภาพ (Peace Memorials Park)

ภายในสวนยังมีสถานที่ย่อยอีกมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ฮิเมะยุริ (Himeyuri Monument / Himeyuri Peace Museum) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงกลุ่มนักเรียนหญิงที่ถูกเกณฑ์ให้มาทำงานพยาบาลให้กับเหล่าทหาร และต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า และอดีตกองบัญชาการกองทัพใต้ดิน (Former Navy Underground Headquarters) ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้ดินลึกกว่า 300 ซึ่งเคยใช้เป็นกองบัญชาการของทหารญี่ปุ่นในการต่อสู้กับอเมริกา โดยในวันที่ถูกทหารอเมริกาล้อมเอาไว้ ทหารญี่ปุ่นกว่า 4,000 นายที่อยู่ในอุโมงค์แห่งนี้ก็ได้พร้อมใจกับปลิดชีวิตตัวเองลง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความพยายามของชาวโอกินาว่าในการย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของสงคราม เพื่อไม่ให้เราทุกคนสร้างสงครามเช่นนี้ขึ้นมาอีก มีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย

สารพัดหน้าซูชิยอดนิยม

ครั้งนี้จะมาบอกเล่าชื่อหน้าซูชิในภาษาญี่ปุ่นกันสักหน่อย พร้อมกับรายละเอียดวัตถุดิบที่ใช้ในเมนู เผื่อวันนึงคุณเข้าร้านซูชิไปสั่งอาหารแล้วพบว่าเมนูญี่ปุ่นนั้นไม่มีรูปให้ดูนั้นจะได้นำบทความนี้ไปปรับใช้เนอะ

海栗(うに:Uni)= ซูชิหน้าไข่หอยเม่น
เจ้าอุนิหรือไข่หอยเม่นนี้หน้าตาบนซูชิจะมีสีเหลืองตุ่น เนื้อของไข่หอยเม่นมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็กมากๆ เรียงชิดติดกัน เนื้อค่อนข้างนิ่มมาก มีรสคาวเล็กน้อยและมีรสชาติที่เฉพาะตัวซึ่งหากใครได้ลองแล้วถ้าไม่เกิดอาการหลงรักรสชาติไปเลยก็อาจจะไม่ชอบไปเลย แต่ถือเป็นหนึ่งในหน้าซูชิยอดฮิตที่คนไทยชอบหาทานที่ญี่ปุ่น เพราะราคานำเข้าในไทยนั้นแสนแพงแถมเป็นวัตถุดิบที่ต้องทานกันสดๆอีกด้วย ซึ่งรสชาติของเขามีผลมากพอที่ทำให้คอเมนูซูชิควักตังค์จ่ายในราคาอันสูง ในร้านขายซูชิราคาประหยัดมักจะไม่มีขายด้วย

jumbo jili

เกร็ดเล็กน้อยที่อยากบอกนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่วัตถุดิบที่นำไข่ที่เป็นผลผลิตจากหอยเม่นเหมือนไข่ปลามาโปะบนข้าวแบบที่เราเข้าใจนะ แต่นั่นคืออวัยวะสืบพันธ์ของหอยเม่น คือถุงน้ำเชื้อหรือรังไข่นั่นเอง (นิยมกินทั้งสองเพศ แต่ถ้าดูดีๆจะเห็นว่าสีต่างกันเล็กน้อย) รู้อย่างนี้แล้วอย่าเพิ่งบูลลี่น้องนะ เพราะแท้จริงแล้วรสชาติของเขาอร่อยมาก

いくら (Ikura) = ซูชิหน้าไข่ปลาแซลม่อน
ไข่ปลาแซลม่อนเป็นหน้าซูชิที่แอบมีลูกเล่นในรสสัมผัส โดยลักษณะหน้านี้จะเป็นไข่ปลาลูกค่อนข้างใหญ่สีส้มใสมันวาวง เมื่อกัดชิมไปที่หน้าของซูชินี้รสที่ได้จะออกคาวธรรมชาติสักหน่อย เค็ม แถมมีความมันของตัวไข่ปลาที่เหมือนบับเบิ้ลนี้อีก ซึ่งถ้าวัตถุดิบยังสดอยู่กัดเข้าไปตัวไข่ก็จะแตกโพละได้ง่ายไม่เด้งหนี พร้อมรสชาติดังกล่าวก็จะทะลักออกมาด้วย ราคาเมนูนี้ในไทยมีหลายเกรดตามคุณภาพของวัตถุดิบเลย

สล็อต

鉄火巻 (てっかまき:Tekkamaki)= ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาทูน่า
ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาทูน่าหรือเทกกะมากิ เป็นซูชิที่ถือกำเนิดมานานตั้งแต่สมัยเอโดะ ภายในเป็นเนื้อปลาทูน่าแดงสดห่อด้วยข้าวญี่ปุ่นปรุงรสน้ำส้มสายชูแล้วห่อซูชิด้วยสาหร่ายทะเลขนาดพอดีคำ รสชาติออกหวานอร่อยสดจากทะเล หาซื้อได้ง่ายทั้งในไทยและญี่ปุ่นราคาไม่แพงอีกด้วย

飛び子 (とびこ : Tobiko) = ไข่ปลาบิน
มาถึงวัตถุดิบหน้าซูชิที่คนไทยคุ้นเคยกันบ้างสำหรับซูชิหน้าไข่ปลาบิน หรือชื่อเล่นที่คนไทยตั้งให้เรียกว่า “ซูชิหน้าไข่กุ้ง” ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้ทำมาจากไข่กุ้งแต่อย่างใด เจ้าไข่ปลาบินนี้จะมีลักษณะเป็นไข่ปลากลมใสเม็ดเล็กเรียงแน่นบนหน้าซูชิเมื่อกัดชิมเข้าไปจะมีความกรุบเล็กน้อย ไข่ปลาบินจะถูกนำมาย้อมเป็นสีต่างๆ ได้แก่ สีส้ม สีแดง สีเขียว และสีดำโดยใช้สีจากธรรมชาติ นอกจากนี้หน้าไข่ปลาบินแบบออริจินัลดังกล่าวแล้วก็พบได้ในหน้าซูชิแบบฟิวชั่นผสมผสานกับวัตถุดิบอื่นได้อีก เช่น ชีส มายองเนส(มาโย) วากาเมะ และยังนิยมใช้กับซูชิฟิวชั่นยอดนิยมอย่างแคลิฟอร์เนียมากิด้วย

สล็อตออนไลน์

穴子寿司 (あなごすし :Anago Sushi)= ซูชิหน้าปลาไหลทะเลย่าง/ซูชิหน้าปลาไหลอะนาโกะย่าง
ปลาไหลทะเลย่างทาซอสกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย จัดวางเนื้อปลาเป็นแนวยาวบนข้าวซูชิ เป็นเมนูที่หน้าตาคล้ายกับปลาไหลน้ำจืดญี่ปุ่น (อุนางิ) ราวกับพี่น้องที่พลัดพราก แต่เนื้อของปลาไหลชนิดนี้มีสีขาวสวยสัมผัสนุ่มกว่าอุนางิเล็กน้อย ถือเป็นเมนูหน้าตาที่คุ้นเคยแต่รสชาติแปลกใหม่ที่ควรไปลองทานกัน ร้านซูชิในไทยที่จะมีเมนูซูชิอะนาโกะโดยส่วนใหญ่จะเป็นร้านราคาเมนูกลางกระทั่งสูง (แต่ถูกกว่าอุนางิ) เพราะต้องคงคุณภาพความสดของปลาไหลชนิดนี้ถึงจะหวานอร่อยนั่นเอง

炙りホタテ寿司 (あぶりホタテすし:Aburi Hotate sushi) = ซูชิหน้าหอยเชลล์ย่าง
หอยเชลล์สดๆของญี่ปุ่นถูกวางบนซูชิพร้อมกับการเสริฟโดยลนไฟบนเนื้อหอยเชลล์หอมๆ ซึ่งแต่ละร้านจะมีไอเดียในสร้างสรรค์เมนูก่อนรนไฟหรือรมควันต่างกันอาทิ ใส่เนยสด ใส่ชีส ย่างซอสเมนไทโกะ เป็นต้น โดยมีรสชาติของหอยเชลล์ที่หวานหอมเนื้อละมุน เป็นเมนูที่นิยมทานทั้งในไทยและญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะราคาสูงแค่ไหนเหล่าคอซูชิก็พร้อมสู้ราคา
แน่นอนว่าแบบไม่ย่างก็มีเช่นกัน

jumboslot

鮪 (まぐろ:Maguro) = ซูชิหน้าทูน่า/ซูชิหน้าปลามากุโร่
มากุโร่คือคำเรียกรวมๆของหน้าปลาทูน่าดิบสีแดงสุดคลาสสิค และจะมีชื่อเรียกแต่ละส่วนที่นำมาทำแตกต่างกัน อาทิ ส่วนท้องหรือโอโทโระ (大トロ:Otoro) ที่จะมีมันแทรกพอสมควรทำให้มีสีแดงอ่อนๆ ส่วนเนื้อแดงหรือจูโทโระ (中トロ:Chutoro) ที่มีไขมันปานกลาง และส่วนเนื้อแดงเข้มหรืออาคามิ (赤身:Akami) ที่มีไขมันน้อยเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ เป็นต้น

太巻き寿司 (ふとまきすし:Futomaki sushi) = ฟูโตมากิซูชิ
ฟูโตมากิซูชิ เป็นคำเรียกรวมๆข้าวปั้นซูชิที่ม้วนด้วยสาหร่ายแผ่นซึ่งมีขนาดใหญ่และหนาเหมือนชื่อของเขา (ฟูโต แปลว่าอ้วน) ภายในประกอบด้วยไส้ผักและเนื้อสัตว์ครบทั้ง 2 ชนิดรวมหลายอย่างในโรลเดียวกัน อาทิ แตงกวา เห็ด ผักดอง แครอท ไข่หวาน ไข่ปลาบิน โอโทโร่ เป็นต้น ถือกำเนิดว่าตั้งแต่สมัยเอโดะแล้วเป็นของดีพื้นเมืองของจังหวัดชิบะอีกด้วย เป็นที่รู้จักในฐานะเมนูซูชิที่อิ่มจนจุกราคาย่อมเยาว์

slot

くるまえび (Kuruma Ebi) = ซูชิกุ้งลายเสือ
กุ้งลายเอต้มสุกชิ้นโตถูกผ่าเอาส่วนกลางตัวออกแล้วจัดวางบนข้าวปั้นรสชาติหวานเนื้อแน่นกำลังดีถือเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมเช่นกัน ยิ่งทานคู่กับวาซาบิและโชยุจะเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น บางร้านอาจใช้คำว่าเอบิซูชิแบบปกติโดยไม่บอกชนิดของกุ้งที่นำมาเป็นวัตถุดิบ เหมาะสำหรับใครที่อยากทานซูชิกุ้งชิ้นใหญ่เต็มคำ ราคาต่อคำในไทยอาจแพงคำละหลักร้อยแต่ถ้าไปทานที่ญี่ปุ่นก็หาร้านราคาสบายกระเป๋าได้ไม่ยาก คนญี่ปุ่นชอบการท่องเที่ยวและการกินมาก

ดูบอลที่ญี่ปุ่นกับ 5 ทีมดังใน J-League

ถ้าพูดถึงกีฬาลูกหนังระดับโลก ก็ต้องนึกถึงลีกฟุตบอลอังกฤษ สเปน อิตาลี แต่ถ้าขยับมาพูดถึงฟุตบอลฝั่งเอเชียใครๆก็ต้องยกให้ J-League เป็นลีกอันดับหนึ่ง เพราะเป็นลีกเอเชียที่มีแฟนบอลทั้งชาวไทยและทั่วโลก วันนี้เราเลยรวมทีมดังในดวงใจในลีคแดนปลาดิบมาให้ทุกคนได้รู้จักกันแบบจัดเต็ม

1.ทีม Kawasaki Frontale
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งแชมป์ของตารางเจลีค 2 ปีซ้อน กับทีมตัวแทนจากเมืองคาวาซากิที่ไมไกลตากโตเกียว (จังหวัด Kanagawa) คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ เรียกได้ว่าแรงสุดฉุดไม่อยู่จริงๆ (ขอเชียร์ออกนอกหน้าเพราะเป็นทีมในดวงใจของคนเขียนเอง)

jumbo jili

ทีมนี้มีสีประจำสโมสรคือฟ้าและดำ ซึ่งเป็นสีเดียวกับสโมสร Gremio ทีมดังในลีคบราซิล เนื่องจากทั้งสองทีมเป็นพันธมิตรกันมาตั้งแต่ปี 1997 จึงไม่ต้องแปลกใจว่าลวดลายการฟาดแข้งจะแซ่บและไวไม่ต่างจากบอลบราซิล แถมยังมีนักเตะดาวเด่นอย่าง กองกลาง Kengo Nakamura และกองหน้า Yu Kobayashi ที่คว้ารางวัลผู้เล่นอันทรงคุณค่าในปี 2016และ 2017 มาอยู่ในทีมด้วย

ที่มาของชื่อทีม Frontale เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า “ข้างหน้า” ซึ่งสื่อถึงจิตวิญญาณของนักบุกเบิกที่พร้อมจะท้าทายและก้าวไปข้างหน้าเสมอ และยังสื่อถึงการพร้อมสู้ศึกอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมตั้งแต่เริ่มต้นอีกด้วย สโมสรนี้ถือปรัชญา “ส่งเสริมวัฒนธรรมกีฬาและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคมท้องถิ่น” มีการทำกิจกรรมด้านกีฬาเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในท้องถิ่นไปพร้อมกับการมุ่งมั่นฝึกอบรมเยาวชนด้านกีฬาด้วย Kawasaki Frontale มีสนามกีฬา Kawasaki Todoroki Stadium เป็นสนามทีมเหย้า

เหย้า : สนามกีฬา Kawasaki Todoroki Stadium
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Nambu ลงที่สถานี Musashi-Nakahara เดินอีก 15 นาที หรือนั่งรถไฟสาย Yokosuka มาลงที่สถานี JR Musashi Kosugi ทางออกฝั่งทิศเหนือ แล้วนั่งรถบัสที่ชานชาลาหมายเลข 2 ไปลงที่หน้าสนามกีฬาได้เลย (มีเฉพาะในวันที่มีการแข่งขัน)

สล็อต

2.ทีม Kashima Antlers
ถ้าจะพูดถึงหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงและโลดแล่นอยู่ในเจลีคมาอย่างยาวนาน ก็คงจะต้องนึกถึงทีม Kashima Antlers (คาชิม่า แอนท์เลอร์ส) ทีมประจำถิ่นของจังหวัดอิบารากิที่มีคนไทยอยู่เยอะมาก มีโลโก้เป็น “กวางเขาเหล็ก”

สิ่งที่ทำให้ทีมนี้โด่งดังมาตลอดก็คือตั้งเเต่เริ่มก่อตั้งเจลีคขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1993 Kashima Antlersก็เป็นทีมที่ไม่เคยตกชั้นลงไปยังลีครองเลยเเม้เเต่ครั้งเดียว แถมด้วยสถิติที่ลงเล่น 24 ฤดูกาลสามารถคว้าเเชมป์เจลีคไปถึง 8 ครั้งทีเดียว แม้เจลีคปีนี้ Kashima Antlers จะตกลงไปอยู่อันดับ 3 ของตาราง แต่ก็ถือว่ายังไม่ทิ้งฟอร์มเดิมไปเท่าไร และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นทีมที่มีแนวรับชั้นเยี่ยมและมีแนวรุกที่ดุดันสุดๆเพราะมีดาวดังอย่าง Azuto Uchida, Ken Shoji, Yuto Misao เป็นต้น

ทีมนี้ก่อกำเนิดขึ้นมาในฐานะทีมฟุตบอลของบริษัท Sumitomo ในปี 1947 โดยเคยมีฐานอยู่ที่เมืองOsaka แล้วต่อมาได้ย้ายมาที่เมืองKashima ในจังหวัดอิบารากิ จนได้ลงเล่นบนลีคสูงสุดของญี่ปุ่นมาโดยตลอด

ส่วนสนามเหย้าของทีมนี้ก็คือ Kashima Soccer Stadium อันเป็นสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ในลำดับต้นๆของญี่ปุ่น เพราะสามารถจุแฟนบอลได้ในคราวเดียวถึง 40,728 ที่นั่ง วันไหนที่มีแข่งจะมีแฟนๆโดยเฉพาะชาว Ibaraki ไปรวมตัวกันที่นี่เพื่อเชียร์ทีมในดวงใจกันอย่างเนืองแน่น พร้อมมีรถบัสรับส่งให้ลงที่หน้าสนามกีฬาเลย นอกจากไปเชียร์บอลแล้วที่ Kashima Soccer Stadium ยังมีอะไรๆให้ดู ให้เล่น อีกเพียบ ทั้งจุดชมวิว, โรงยิม, ร้านอาหาร เป็นต้น

สล็อตออนไลน์

สนามเหย้า: Kashima Soccer Stadium
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถบัส High-speed จากสถานี Tokyo ฝั่งทางออก Yaesu ที่ชานชลาหมายเลข 1 แล้วลงที่สถานี Kashima Soccer Stadium หรือ นั่งรถไฟ JR ที่สถานี Mito ไปลงที่สถานี JR Kashima Soccer Stadium

  1. ทีม Gamba Osaka
    มาถึงทีมดังฝั่งคันไซ netmba Osaka (กัมบะ โอซาก้า) แม้ในตารางล่าสุดสโมสรแห่งนี้จะรั้งอันดับ 8 หลังจากที่เคยร่วงไปเล่นลีครองมาสักพัก จริงๆแล้วสโมสรนี้เคยมีชื่อเสียงและทำผลงานได้ดีมากๆในอดีต จากการคว้าชัยชนะในเจลีคครั้งแรกในปี 2005 นอกจากนี้ ยังสามารถคว้าแชมป์ AFC champion league ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2008 ก่อนจะฟอร์มตกถึงขั้นต้องลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 2012 และค่อยๆฟื้นคืนตารางหลักมาอีกครั้ง ซึ่งเหล่าแฟนๆก็พยายามลุ้นให้คืนฟอร์มโดยเร็วกันล้นหลาม สโมสรแห่งนี้ยังเคยเป็นทีมเก่าที่ วิทยา เลาหกุล, นที ทองสุขแก้ว, รณชัย สยมชัย อดีตนักเตะทีมชาติไทยเคยไปค้าแข้งด้วยมาแล้ว

ทีม Gamba อยู่ที่เมือง Suita จังหวัดโอซาก้า มีฉายาประจำทีมว่า”เจ้าเวหา” ปัจจุบันมีบริษัท Panasonic เป็นเจ้าของทีม คำว่า Gamba ในภาษาญี่ปุ่นสามารถแปลว่า “พยายามทำให้ดีที่สุด” ก็ได้ โดยมาจากคำว่า Gambare แต่จริงๆชื่อของทีมมาจากภาษาอิตาลีคำว่า Gamba ที่แปลว่า “ขา”

สโมสรแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1980 ในชื่อ สโมสรฟุตบอล Matsushita ในจังหวัดนารา ภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น Gamba Osaka เมื่อย้ายมาอยู่ที่จังหวัดโอซาก้าในปี 1991 และได้เข้าร่วมเจลีคในปี 1992 ส่วนสนามเหย้าของทีมนี้ก็คือที่ Suita City Football Stadium ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ Gamba Osaka ชื่อ Blu STORIA ภายในสนามให้ได้เข้าชมฟรีด้วย

jumboslot

สนามเหย้า : Suita City Football Stadium
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ monorail สาย Hankyu Kyoto จากสถานี Minami Ibaraki ไปลงที่สถานี Banpaku-kinen-koen แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาที หรือ นั่งรถไฟสาย JR kyoto ลงที่สถานี JR Ibaraki แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ Expo’70 Commemorative Stadium เดินต่ออีก 10 นาที

  1. ทีม Hokkaido Consadole Sapporo
    วินาทีนี้สำหรับแฟนบอลชาวไทย จะไม่พูดถึงทีมนี้ไม่ได้ Hokkaido Consadole Sapporo ในฐานะต้นสังกัดใหม่ของ “ชนาคุง” ชื่อเล่นใหม่ของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ไปเล่นเป็นกองกลางและนำพาสโมสรที่เคยอยู่ท้ายๆของตารางก้าวกระโดดโลดแล่นจนวิ่งแซงขึ้นมาครองตำแหน่งอันดับ 4 ของตารางได้อย่างสวยงาม ที่นี่เป็นสโมสรที่อยู่ในเมืองซัปโปโรบนเกาะฮอกไกโด มีสนามเหย้าคือ Sapporo Dome ที่เป็นสนามไซส์ยักษ์ระดับแนวหน้าของภูมิภาคนี้ นอกจากจะใช้เป็นรังเหย้าของสโมสรแห่งนี้แล้ว ยังถูกใช้สำหรับเป็นสนามเบสบอลของทีม Hokkaido Nippon Ham Fighters ด้วย

ความหมายของชื่อทีมนั้น เกิดจากการผสมคำว่า consado บวกกับคำว่า ole ที่เป็นเสียงร้องแสดงความยินดีในภาษาสเปน ส่วนคำว่า consado นั้นเป็นผวนมาจากคำว่า dosanko ชื่อม้าสายพันธุ์ท้องถิ่นของฮอกไกโด และคำนี้ยังเป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกชาวฮอกไกโดอีกด้วย

สโมสรฟุตบอลอาชีพทีมนี้ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1996 และเป็นทีมแรก ที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นชาวเมืองซึ่งสามารถร่วมลงทุนด้วยในนาม “บริษัท ฮอกไกโด ฟุตบอลคลับ จำกัด (HFC)” เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าอีกหนึ่งอย่างให้กับท้องถิ่น โดยชาวเมืองผู้ถือหุ้นจะได้ออกความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกิจการและสร้างนักกีฬาอาชีพจากท้องถิ่นใน Hokkaido ได้อย่างอย่างเต็มที่ เป็นสโมสรที่ถือได้ว่าเป็นของชาวเมืองอย่างแท้จริง จึงทำให้สโมสรแห่งนี้เติบโตอย่างมีรากฐานมั่นคงและได้รับการสนับสนุนจากชาวเมืองอย่างล้นหลาม

slot

สนามเหย้า : Sapporo Dome
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Toho จากสถานี Sapporo Subway ไปลงที่สถานี Fukuzumi แล้วเดินต่อไปที่สนามประมาณ 10 นาที หรือสามารถขึ้นรถ Shuttle bus จากสถานี JR Sapporo ไปลงที่สนามได้เลย (เฉพาะวันที่มีการแข่งขัน)

5.ทีม Sanfrecce Hiroshima
Sanfrecce Hiroshima สโมสรอดีตแชมป์เจลีคสามสมัย ปัจจุบันมีนักเตะชาวไทยอย่าง ”เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ไปค้าแข้งเป็นกองหน้าอยู่ในทีม โดยทีมมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า ส่วนชื่อนั้นมาจากการผสมคำว่า San ซึ่งหมายถึงเลข 3 ในภาษาญี่ปุ่นกับ คำว่า frecce ซึ่งแปลว่าลูกศรหรือลูกธนูในภาษาอิตาลี โดยชื่อทีม Sanfrecce มาจากตำนานเรื่องเล่าธนู 3 ดอก ที่โมริ โมโตนาริ ขุนพลสมัยโบราณผู้เรืองอำนาจในแถบฮิโรชิม่าช่วงศตวรรษที่ 16 เคยสอนลูกชายทั้งสามว่าการหักธนูดอกเดียวอาจทำได้ง่ายแต่เมื่อนำธนูมารวมกันถึง 3 ดอกจะแข็งแกร่งจนหักไม่ไหว เพื่อสื่อว่าสามัคคีคือพลังนั่นเอง และเรื่องเล่านี้ก็ปรากฏอยู่ในโลโก้ของสโมสร

สโมสรแห่งนี้เริ่มต้นมาจากการเป็นทีมของบริษัทมาสด้า ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Sanfrecce Hiroshima ในปี 1992 และมาประสบความสำเร็จในช่วงหลังคือการคว้าแชมป์เจลีคได้ 3 สมัยในปี 2012, 2013 และ 2015 นอกจากนี้ทีมนี้ยังเคยคว้าแชมป์ Japanese Super Cupได้ 3 สมัยในปี 2008, 2013 และ 2014 ฉะนั้น แฟนๆจะไม่เคยผิดหวังในเกมการเล่นของสโมสรนี้ที่ดุเด็ดเผ็ดมันด้วยเกมรุกที่เร็วและชัดเจน
กีฬาก็เป็นอีกรูปแบบที่นิยมกันเป็นอย่างมาก

13 ซูชิสำหรับนักชิมเลเวลสูง

นักชิมซูชิเลเวลแรกๆ ขอแนะนำให้กินซูชิที่กินง่ายๆ แบบไข่หวาน แซลมอน หรือมากุโร่ไปก่อน เมื่อมั่นใจว่าจะสามารถข้ามขั้นได้แล้ว ขอให้ลองตามไปชิมซูชิในลิสต์ทั้ง 13 แบบนี้ดู แล้วจะเรียกว่าสามารถเข้าถึงความเป็นซูชิญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น ขอบอกว่ายิ่งอันดับสูง ก็ยิ่งโหด แต่ก็ยิ่งอร่อยเด็ดเช่นกัน พร้อมยัง? ไปกันเลย

jumbo jili

  1. Uni
    Uni หรือรู้จักกันดีในนามซูชิไข่หอยเม่น (จริงๆ แล้วมันคือ อัณฑะกับรังไข่ของหอยเม่น) ฟังดูโหด แต่ถ้าได้ไปกินร้านที่ของสดๆ แล้วจะรู้เลยว่าต่างกับที่เคยกินในเมืองไทยขนาดไหน เพราะว่าไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่นิดเดียว และผิวสัมผัสแบบหลอมละลายในปาก รสชาติเข้มข้น กินแล้วจะหลงรัก
  2. Tobiko
    Tobiko Nigiri ไม่ใช่ไข่กุ้งอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นซูชิโปะหน้าไข่ของปลาบิน ตามปกติจะมีสีส้มแดง รสออกเค็มอ่อนๆ แต่บางครั้งก็มีการนำไปย้อมเป็นสีอื่น เช่น ย้อมวาซาบิได้ไข่สีเขียว ย้อมขิงได้ไข่สีส้ม หรือย้อมกับหมึกของปลาหมึกจะได้สีดำ

สล็อต

  1. Engawa
    Engawa เป็นส่วนครีบ (หรือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อ) ของปลาพวกปลาลิ้นหมา จึงสามารถเคี้ยวได้อย่างกรุบกรับ อร่อยเพลิดเพลิน เป็นหนึ่งในซูชิยอดฮิตของคนญี่ปุ่นเลยทีเดียว
  2. Hotate
    Hotate หรือหอลเชลล์ เนื้อหวาน แน่น นุ่ม เป็นหนึ่งในสุดยอดซูชิห้ามพลาดเลยทีเดียว เราสามารถทานได้อย่างเอร็ดอร่อยตลอดทั้งปี แต่จะอร่อยมากเป็นพิเศษในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม
  3. Anago
    Anago เป็นปลาไหลน้ำเค็ม หน้าตาและการปรุงรสจะคล้ายๆ ปลาไหลน้ำจืดอย่าง Unagi แต่โดยตัวเนื้อของ Anago จะมีมันน้อยกว่าและกินได้ง่ายกว่า ไม่เลี่ยน และราคาถูกกว่า Unagi เยอะเลย

สล็อตออนไลน์

  1. Gindara Nigiri
    Gindara Nigiri หรือซูชิปลาหิมะนั่นเอง อย่างที่ทราบว่าปลาหิมะมีเนื้อที่มีรสชาติหวานอร่อย เนื้อแน่นและนิ่ม ยิ่งถ้าเป็นซูชิเนื้อปลาหิมะสดๆ แล้วจะยิ่งผสมผิวสัมผัสที่นุ่มเนียน เคี้ยวเพลิน อร่อยจนลืมแบบต้มหรือย่างไปเลย
  2. Shirasu
    ปลา Shirasu หรือปลาซาร์ดีนจิ๋ว หนึ่งขยุ้มโปะบนข้าวพันสาหร่าย มาเป็นตัวๆ จ้องตาเราเป๋งแบบนี้หลายๆ คนอาจจะกินไม่ลง แต่จริงๆ แล้วช่างหวานอร่อยและอุดมไปด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุมากมายเลยล่ะ
  3. Shako Nigiri
    ซูชิกั้ง กั้งที่บ้านเราก็กินดองกินดิบๆ กันแต่ต้องเอาไปแช่น้ำปลาหรือเอาไปยำแซ่บๆ ก่อน แต่ของญี่ปุ่นเขาต้องเอาไปต้มก่อนนำมาทำเป็นซูชิ มีรสออกหวาน เนื้อจะยุ่ยกว่ากุ้งนิดหน่อย หากินยากแต่ถ้าได้เจอก็อยากจะให้ลอง เพราะว่ากั้งญี่ปุ่นก็อร่อยไม่แพ้กุ้งปูเลยทีเดียว

jumboslot

  1. No-re so-re
    No-re so-re เป็นซูชิลูกปลาไหลทะเล ตัวใสมองทะลุได้เลย เสริฟมาแบบพันสาหร่าย เคี้ยวได้กรุบกรับกว่าที่คิดแต่ก็ไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไหร่ ออกหวานเพียงนิดหน่อย แต่เรียกว่ากินเอาความรู้สึกในการเคี้ยวเพลินมากกว่า
  2. Natto Maki
    ซูชินัตโตพันสาหร่าย สำหรับคนที่มาญี่ปุ่นจนชินกับนัตโตแล้ว เมนูนี้อาจจะไม่มีปัญหา และอาจจะเป็นเมนูโปรดของคุณไปแล้ว แต่สำหรับมือใหม่ ขอบอกเลยว่าโหดดิบ ทั้งกลิ่น (แรง!) ทั้งผิวสัมผัส (หยืด ยืด เหนอะ) ของถั่วหมักนั้น ไม่กลายเป็นฝันดีก็ฝันร้ายไปเลย เพราะแม้แต่คนญี่ปุ่นเอง คนชอบก็ชอบ คนเกลียดก็เกลียดจริงๆ
  3. Sakura Nigiri
    Sakura ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงดอก sakura หรอก แต่มันเป็นคำเรียกซูชิเนื้อม้าดิบๆ เพราะคนญี่ปุ่นบอกว่าเนื้อเป็นสีชมพูเหมือนซากุระ (อืม ก็ไม่เหมือนนะ แต่ช่างเถอะ) ใช่แล้ว…เนื้อม้า แถมดิบด้วย เพิ่มดีกรีความโหดแบบทวีคูณ โดยต้นตำรับเปิปพิสดารนี้อยู่ที่จังหวัด Kumamoto ใครสนใจเชิญได้เลย

slot

  1. Namako
    Namako หรือแปลไทยได้ว่า ปลิงทะเลนั่นเอง ซูชิปลิงทะเล…เพราะว่าแค่ปลาทะเลมันอ่อนหัดเกินไปไงล่ะ โดยจะมีรสชาติเปรี้ยวนิดๆ ผิวสัมผัสหนึบๆ หน่อย ถ้าก้าวผ่านหน้าตาน่าสยองขวัญแบบนี้ไปได้แล้ว รับรองว่ากินแล้วจะติดใจรสชาติ
  2. Funazushi
    Funazushi เป็นซูชิแบบพิเศษ หากินยาก เป็นซุชิแบบ narezushi หรือซูชิที่ใช้ปลาหมัก (คล้ายๆ ปลาร้านั่นเอง) โดยจะต้องเป็นปลา Nigororobuna ที่พบในทะเลสาบ Biwa ในจังหวัด Shiga เท่านั้น โดยเป็นเมนูที่ทำโดยเชฟซูชิตระกูล Kitamura ที่สืบทอดต่อกันมาถึง 8 รุ่น (ตั้งแต่ปี 1619 เลยทีเดียว) ใครได้ไปเที่ยวลองไปซิมกันค่า

มารยาทคนญี่ปุ่น เป็นเนื้อแท้หรือแค่ภายนอก

เรามักจะได้ยินว่าคนญี่ปุ่นนั้นตรงเวลา ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด ไม่แซงแถว พฤติกรรมเหล่านี้เป็นนิสัยที่แท้จริงของคนญี่ปุ่นจริงหรือ? (บทความเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่เขียนจากการสังเกตุการณ์ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรคอมเม้นต์กันได้ค่ะ)

เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม
เคยสงสัยมั้ยว่าคนประเทศแห่งหนึ่งจะมีมารยาทอันยอดเยี่ยมเพราะเนื้อในพวกเขาทุกคนคือคนดีแต่กำเนิด หรือว่ามีเหตุผลอื่น?
คนไทยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดที่มีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่เยอะอย่างกรุงเทพหรือชลบุรีคงจะเคยเห็นคนญี่ปุ่นเดินไปกินไป สูบบุหรี่ไม่เลือกที่ หรือใส่หูฟังเปิดเพลงดัง ๆ จนรบกวนคนรอบข้างได้ยินบ้าง ขากสเลดลงพื้นบ้าง นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าคนญี่ปุ่นบางส่วนไม่ได้มีมารยาทโดย ‘เนื้อแท้’ ที่มาจากภายใน แล้วมารยาทนี้มาจากไหนกันนะ

jumbo jili

ให้ลองจินตนาการคนไทยบางคนที่ไม่ได้ฝึกมารยาทอะไรเป็นพิเศษ แต่พอถึงเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็สามารถรอต่อคิวยาว ๆ ได้ ไม่เดินไปกินไปได้ ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราดตามทางได้เหมือนคนญี่ปุ่น ถ้านึกจะทำก็ทำได้เช่นกัน นั่นก็เพราะแต่ละสังคมมีกฏที่กำหนดให้คนในสังคมต้องทำตาม ใครที่ไม่ทำตามจะถูกมองเป็นแกะดำและถูกตำหนิติเตียนได้ เรียกว่าเป็นมารยาทที่เกิดจากกฏเกณท์ทางสังคมก็ได้ค่ะ
แล้วอะไรบ้างที่ทำให้คนญี่ปุ่นต้องมีมารยาท ไม่ว่าจะเป็นนิสัยที่แท้จริงจากภายในหรือไม่

ความเกรงใจต่อผู้อื่นในที่สาธารณะ เพราะประชากรหนาแน่นจึงต้องหาทางอยู่ร่วมกัน
ปี 2018 ประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 127 ล้านคน แต่เฉพาะในโตเกียว 23 เขต มีประชากร 9.27 ล้านคน จังหวัดโตเกียวมีพื้นที่รวม 2,188 ตารางกิโลเมตร ซึ่งยังไม่นับรวมคนที่อาศัยอยู่นอกโตเกียวแต่นั่งรถไฟหรือรถบัสไป-กลับเพื่อทำงานที่โตเกียว เพราะที่อยู่อาศัยในโตเกียวแพงมากถึงแม้จะเป็นการเช่าอยู่ ถึงจะได้ห้องราคาถูกแต่ห้องส่วนใหญ่ก็มีลักษณะคับแคบทำให้คนส่วนหนึ่งนิยมอาศัยอยู่รอบนอกโตเกียวอย่างโยโกฮาม่าหรือชิบะที่ตั้งของโตเกียวดิสนี่ย์แลนด์นั่นเอง แถมรถไฟก็รวดเร็วตรงเวลาทำให้คนนิยมออกไปอยู่นอกโตเกียวเป็นจำนวนมาก

สล็อต

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกวันมีคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเดินทางเข้ามายังโตเกียวเพื่อทำงานและท่องเที่ยว ทุกเช้าจะเห็นรถไฟอันเบียดเสียดอัดกันเป็นปลากระป๋องทุกครั้งไป ทำให้มีความเคร่งครัดมารยาททางสังคม หรือที่เรียกง่ายๆว่า ‘ความเกรงใจ’ เช่น ไม่ควรเดินเข้าขบวนรถไฟก่อนคนข้างในจะเดินออกมา ไม่ควรใช้โทรศัพท์บนรถไฟในชั่วโมงเร่งด่วน การต่อแถว ยืนชิดซ้ายเดินชิดขวา การไม่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งการปิดฝาโถส้วมในสถานีรถไฟหลังใช้เสร็จ
จะเห็นว่าสิ่งที่กล่าวมาไม่ได้เป็นสิ่งที่โดน ‘ห้าม’ หรือถูกบังคับให้ทำทั้งหมด แต่เป็นการสร้างความลื่นไลของกลไกในสังคมที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีไม่มีสะดุด

แล้วถ้าไม่ทำตามมารยาททางสังคมล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น? บอกได้เลยว่าคุณจะโดนมองบน มองด้วยหางตา มองด้วยสายตาเสียดแทงบาดลึกไปถึงหัวใจ เพราะถึงแม้คนโตเกียวจะไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นที่ไม่รู้จัก แต่ก็มองคนที่ไม่ทำตามแนวทางที่ควรทำว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ไม่มีความศิวิไลซ์ ทำให้คนญี่ปุ่นทั้งหลายดูมีวินัย เกรงใจผู้อื่น
แต่สำนึกทุกอย่างจะมลายหายไปหลังเที่ยงคืน โดยเฉพาะคืนวันศุกร์หรือวันเสาร์ ไม่เชื่อลองไปแหล่งที่เต็มไปด้วยร้านเหล้าอิซากายะดูสิ สมบัติผู้ดีแทบจะหายไปหมดสิ้น

สล็อตออนไลน์

กฏหมายที่ดี บังคับใช้จริงจัง และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีคุณภาพ
จากข้อข้างต้นเราพูดถึง ‘มารยาททางสังคม’
ส่วนข้อนี้เป็น ‘ข้อกฎหมายที่ต้องทำ’

กฏหมายคือกฏหมาย ถ้าไม่ทำตามจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อสังคมและสามารถสร้างความเสียหายวงกว้างได้ รัฐถึงต้องคอยควบคุมกำกับให้สังคมอยู่ในสภาพเรียบร้อย อย่างกฎหมายเกี่ยวกับการขับรถ การดื่มไม่ขับ การหยุดให้คนข้าม หรือแม้กระทั่งการสูบบุหรี่ต้องสูบในที่ ๆ สามารถสูบได้เท่านั้น แท็กซี่ที่ขับรถชนท้ายรถคันอื่น ถึงแม้จะไม่มีผู้โดยสารอยู่ในรถ แต่ก็จะถูกพักใบอนุญาตทำงาน 30 วัน รวมไปถึงการลักเล็กขโมยน้อยที่มีค่าปรับที่สูงมากและมีโอกาสติดคุกได้ง่ายๆ อีก

ดังนั้นคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายเพราะโทษปรับที่รุนแรง เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างแข็งขัน เพราะอาชีพตำรวจถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นการทำอะไรที่ผิดศีลธรรมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกิดอาชญากรรมน้อยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

jumboslot

แน่นอนญี่ปุ่นก็มีคนไม่ดี มีคนที่อยากทำอะไรมักง่ายอยู่บ้าง แต่ความที่อาจจะสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย แถมคำนวณดูแล้วมันไม่คุ้ม เลยต้องจำใจทำตามกฏระเบียบไป (พูดง่าย ๆ คือลึก ๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนดีมาก แต่การทำผิดกฏหมายมันไม่คุ้มก็แค่นั้น) จริง ๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการมีกฏหมายนะ

บางทีก็คือการทำเพื่อหน้าตาของตนเอง
เมื่อเราเดินท่องเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยที่เป็นโซนที่อยู่อาศัย เราจะเห็นว่าบ้านแต่ละหลังดูสะอาดมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการจัดสวนที่สวยงาม ไม่มีขยะหรือใบไม้มากมายอยู่บริเวณหน้าบ้าน แต่รู้หรือไม่ข้างนอกบ้านนั้นคือมายา! ในบ้านสิของจริง!!!

ขอเล่าประสบการณ์ตรงที่ได้เจอด้วยตนเอง (゚▽゚) เมื่อได้เจอกับสามีครั้งแรกดูเป็นผู้ชายญี่ปุ่นที่เรียบร้อยและเนี้ยบมาก ดูเป็นผู้ชายสะอาดสะอ้าน จนกระทั่งได้แต่งงานและย้ายเข้าบ้านเท่านั้นแหละคุณขา จะเป็นลม สามีเคยใช้ชีวิตกับแม่สองคนในบ้านหลังนี้ ก่อนที่คุณแม่จะย้ายไปอยู่บ้านพักคนชรา (บ้านพักคนชราที่นี่ไม่ใช่ถูก ๆ นะคะ ตกเดือนละ 60,000 – 90,000 บาท) จนเสียชีวิต ภายหลังสามีก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว บ้านของสามีเป็นบ้านขนาด 3 ชั้น ห้องนอนทั้งหมด 4 ห้อง ตอนที่มาถึงสามีใช้ห้องนอนเพียงห้องเดียว ที่เหลือเป็นห้องกองขยะ ไม่ใช่สิ! ขอเรียกว่า “ห้องเก็บของ” สถานภาพของตนเองในขณะนั้นเปลี่ยนจากเมียมาเป็นแจ๋วในทันที ใช้เวลาทั้งหมดครึ่งปีในการเคลียร์ขยะและจัดข้าวของต่าง ๆ ให้เป็นที่เป็นทาง อยากจะเล่าให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าคนญี่ปุ่นบางคนในและนอกไม่เหมือนกัน ที่ดูเนี้ยบสะอาดนั้น บางทีก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่เค้ารักษาไว้ให้คนนอกเห็น

slot

แยกระหว่างคนในและคนนอก
คนญี่ปุ่นอย่างที่เรารู้คือเป็นชนชาติที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ทำให้เกิดการแบ่งแยก ‘คนใน – คนนอก’ (อุจิ-โซโตะ) ซึ่งคน ๆ เดียวกันสามารถเป็นคนใน – คนนอกได้ตามแต่ละสถานการณ์ ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงส่วนตัวนะคะ

มีเพื่อนเป็นคุณแม่ชาวญี่ปุ่นนามสมมุติ A ซัง โดยคุณ A ซังอยู่ในคลาสคุณแม่มือใหม่เดียวกัน กรุ๊ปเดียวกัน (ในคลาสจะแบ่งกรุ๊ปย่อยเพื่อให้คุณแม่ ๆ ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น) รู้จักกันและพูดคุยถูกคอ A ซังจึงชวนพาลูกไปเล่นและดื่มชากาแฟที่บ้าน แต่เมื่อมาที่บ้านในบ้านของ A ซังก็มีคุณแม่อยู่ด้วย เลยได้รับการต้อนรับแบบคนนอก (แขก) A ซังและคุณแม่ของ A ซังเวลาคุยกันจะเป็นคนใน เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนเราเป็นคนนอก จะถูกปฏิบัติอีกแบบ ทำให้เข้าไปบ้านครั้งแรกมีความเก้ๆ กังๆ หน่อย

คนในคนนอกไม่เพียงใช้แต่เฉพาะคนญี่ปุ่นด้วยกันเท่านั้น ยังใช้ในกรณีที่เป็นชาวต่างชาติแยกกับชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ทำให้บางครั้งการปฏิบัติต่อชาวต่างชาติกับชาวญี่ปุ่นด้วยกันแตกต่างกัน การปฏิบัติเช่นการใช้ระดับความสุภาพของภาษา การแสดงกริยาท่าทางเวลามีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นเคร่งครัดในการปฏิบัติซึ่งต่างจากคนไทยอย่างชัดเจนไม่ว่าใครที่ไหนก็สามารถเรียกเป็นพี่ น้อง ป้า น้า อา ลุง เสมือนญาติเราได้หมด เจอครั้งแรกก็ถามชื่อเล่นและเรียกได้ตั้งแต่ยังไม่รู้จักอะไรกันเลย ถ้าไปทำแบบนี้ที่ญี่ปุ่นจะโดนมองแรงเอานะ

ถ้าให้เลือก จะเลือกแบบไหนกันคะ? อยู่กันอย่างสบาย ๆ มักง่ายทำอะไรตามใจ หรือจะเคร่งเครียดต้องทำตามกฎและหลักปฏิบัติในสังคมจนอ่อนล้า เป็นไปได้ไหมที่เราจะสามารถสร้างความสมดุลระหว่างความสุขและรักษากฏข้อปฏิบัติ ส่วนตัวคิดว่าการรักษามารยาททางสังคมเป็นการให้เกียรติทั้งตนเองและผู้อื่นที่อยู่รอบข้างค่ะ มาช่วยกันทำสังคมให้น่าอยู่โดยเริ่มที่ตัวเรากันนะคะ คนญี่ปุ๋นจะทำตามวัตนธธรรมของเขาแบบเค่งคัดเสมอ

หาเพื่อนญี่ปุ่นกัน : มารยาทโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่น

แต่ละประเทศก็มีวัฒนธรรมที่ต่างกันไป ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญเรื่องขนบธรรมเนียมและมารยาทเป็นอย่างมาก เราจึงควรเรียนรู้และปฏิบัติตามของเขาเพื่อเป็นการให้เกียรติและเข้ากันได้ดีอย่างไม่ต้องอึดอัดใจ

เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารญี่ปุ่นนั้นยังมีหลายคนที่ปฏิบัติด้วยความเข้าใจผิด ดังนั้นจึงถือโอกาสมาแนะนำมารยาททั่วไปที่พึงปฏิบัติบนโต๊ะอาหาร

มารยาทบนโต๊ะอาหาร

jumbo jili

1 วิธีใช้ตะเกียบที่ถูกต้อง
อุปกรณ์รับประทานอาหารที่สำคัญของญี่ปุ่นคือตะเกียบ จึงควรใช้ให้ถูกต้องและพึงระวังว่าไม่ควรใช้ตะเกียบเหมือนเป็นช้อน มีด หรือส้อม วิธีใช้ตะเกียบและข้อควรระวังง่ายๆ มีดังนี้
1 ไม่ควรใช้ตะเกียบเขี่ยเพื่อเลื่อนจานชามให้มาใกล้ตัว
2 ไม่ปักตะเกียบบนข้าวเพราะถือเป็นการให้อาหารคนตาย
3 ระหว่างรับประทานหากต้องการพักให้วางตะเกียบลงบนที่วางตะเกียบ
4 หากไม่มีให้พับซองตะเกียบเพื่อใช้วางแทน
5 และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วให้วางตะเกียบที่ด้านข้างเยื้องไปข้างหน้าจะเป็นการสุภาพที่สุด

สล็อต

2 ห้ามเอาศอกเท้าโต๊ะ
เวลารับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนญี่ปุ่น ควรนั่งอย่างสำรวม ไม่เอาศอกเท้าบนโต๊ะเพราะเป็นการทำเสียมารยาท ควรถือชามข้าวหรือถ้วยซุปขณะรับประทานอาหารจึงเป็นมารยาทที่ถูกต้อง โดยยกชามหรือถ้วยขึ้นมาอยู่ในระดับอก

3 ผ้าเย็นสำหรับเช็ดมือเท่านั้น
ญี่ปุ่นมีธรรมเนียมการเสิร์ฟผ้าเย็น เป็นผ้าขนหนูผืนเล็กที่แช่ไว้ในตู้เย็นสำหรับเช็ดมือ ผ้าดังกล่าวไว้ใช้สำหรับทำความสะอาดมือเท่านั้น ไม่นำมาใช้ซับเหงื่อ เช็ดหน้า ลำคอ ขา โต๊ะ และของใช้อื่นๆ

4 เมนูเส้นซดมีเสียงได้
เมื่อรับประทานอาหารที่เป็นเมนูเส้นๆ เช่น โซบะ อุด้ง ราเม็ง คนญี่ปุ่นมักจะซดเสียงดังมาก ในการดูดเส้นเสียงดังแบบนี้ไม่ถือเป็นการเสียมารยาทเนื่องจากการซดเสียงดังเป็นการแสดงถึงความอร่อยของอาหารเส้น และเป็นการให้เกียรติพ่อครัว

สล็อตออนไลน์

5 ของที่กัดแล้วห้ามใส่คืนในจาน
อาหารที่หยิบมารับประทานและกัดลงไปแล้วไม่ควรเอากลับคืนไปวางบนจานอีก สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตามมารยาทอย่างเดียวเนื่องจากมีหลายคนถือ อีกทั้งโดยสามัญสำนึกแล้วก็เป็นเรื่องน่ารังเกียจที่เอาของเหลือจากตัวเองไปให้คนอื่นรับประทานต่อ ให้คีบอาหารชิ้นนั้นค้างไว้จนกว่าจะรับประทานจนหมดชิ้น รวมไปถึงไม่ควรใช้ตะเกียบสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของอาหารที่ตัวเองรับประทานไม่ได้ด้วย ให้คีบเฉพาะของที่ตัวเองจะกินเท่านั้น

6 มารยาทในการรับประทานซาชิมิและซูชิ
การรับประทานซาชิมิกับซูชิโดยปกติแล้วจะรินโชยุใส่จานเล็กพอประมาณ ทาวาซาบิลงบนชิ้นซูชิหรือซาชิมิที่ต้องการโดยตรง ไม่ละลายวาซาบิลงในโชยุ ถ้าเป็นซูชิให้จิ้มโชยุด้านที่เป็นเนื้อปลาไม่ใช่ด้านที่เป็นข้าวเพราะข้าวอาจแตกกระจายได้ และรับประทานให้หมดภายในคำเดียว สามารถใช้มือแทนตะเกียบได้

jumboslot

7 กล่าวคำว่า “อิตะดะคิมัส” ก่อนรับประทานอาหาร
“อิตะดะคิมัส (Itadakimasu)” เป็นประโยคที่น่าจะคุ้นหูใครต่อใครดี มีความหมายว่าขอรับอาหารมื้อนี้ กล่าวเพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อพ่อครัว บรรดาเกษตรกรทั้งหลายที่ทำการเพาะปลูกวัตถุดิบในจาน และขอบคุณต่อวัตถุดิบทุกประเภทที่ได้สละชีวิตมาเป็นอาหาร

8 กล่าวคำว่า “โกะจิโซซามะเดชิตะ” หลังรับประทานอาหารเสร็จ
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย คนญี่ปุ่นก็มีคำกล่าวเป็นธรรมเนียมเหมือนเช่นตอนก่อนรับประทาน “โกะจิโซซามะเดชิตะ (Gochisousamadeshita)” คือคำที่ควรกล่าว แปลได้ว่า “ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร” เพื่อแสดงความซาบซึ้งในความเหนื่อยยากของผู้ที่ประกอบอาหารนั้นในทุกฝ่าย

slot

9 น้ำซุปไม่มีช้อนให้
ชุดอาหารญี่ปุ่นมักจะมีน้ำซุปมาด้วย แต่ไม่มีช้อนให้เนื่องจากคนญี่ปุ่นยกถ้วยขึ้นดื่ม มารยาทที่ดีในการดื่มซุปคือใช้มือซ้ายประคองด้านข้างถ้วยซุป ส่วนมือขวาเปิดฝาถ้วย วางหงายฝาเอาไว้ด้านขวามือของถ้วย และเมื่อรับประทานเสร็จแล้วก็ให้ปิดฝากลับไปเหมือนเดิม

10 ตำแหน่งในการนั่งรับประทานอาหาร
เมื่อมีงานเลี้ยงรับประทานอาหารร่วมกันในห้องส่วนตัว ควรจัดให้แขกคนสำคัญ ผู้หลักผู้ใหญ่ และเจ้านายอาวุโสนั่งไกลจากประตู หรือที่นั่งนั้นสามารถมองเห็นวิวสวยๆ ได้ถนัด แบบนี้ถือเป็น “ที่นั่งสูง” เพื่อเป็นการให้เกียรติ ส่วนที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้ประตูมากที่สุดถือเป็น “ที่นั่งต่ำ” สำหรับผู้ร่วมงานที่อายุน้อยกว่า เด็กกว่า คนญี่ปุ๋นจะทำตามวัตนธธรรมของเขาแบบเค่งคัดเสมอ

มาทำความรู้จัก 8 ประเภทซูชิของญี่ปุ่นเถอะ

เมื่อพูดถึงอาหารญี่ปุ่น หลายๆ คนคงจะนึกถึง ซูชิ ใช่ไหม ทราบไหมว่า ว่าซูชิสามารถแบ่งได้กี่ประเภท? แล้วซูชิที่คุณชอบทานนั้นเรียกว่าอะไร? จริงๆ แล้วซูชิสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทมากๆ ตามวิธีการทำ รูปร่าง และขนาด คราวนี้เอาหลักๆ 8 ประเภทมาให้รู้จักกัน

  1. Nare Sushi
    Nare Sushi ถือเป็นต้นกำเนิดของซูชิเลยก็ว่าได้ เป็นการนำข้าวสวย และเกลือมาหมักจนเกิดข้าวหมัก และนำปลาไปหมักจนมีรสเปรี้ยว (วิธีการก็คล้ายๆ การทำปลาร้าของบ้านเรานี่เอง) จนกลายมาเป็น Nare Sushi แม้ซูชิประเภทนี้จะมีกลิ่นเหม็นมาก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นอาหารสุดหรูของญี่ปุ่นในปัจจุบันเลยทีเดียว

jumbo jili

  1. Nigiri Sushi
    Nigiri Sushi เป็นซูชิที่พวกเราคุ้นเคยกันมากที่สุดนี่เอง คือการใช้ข้าวคลุกกับน้ำส้มสายชู แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนพอดีคำ วางเนื้อปลาไว้ด้านบน หรืออาจป้ายวาซาบิไว้ระหว่างข้าวและเนื้อปลาเพื่อเพิ่มรสชาติ โดย Nigiri sushi ที่ดีนั้นจะมีสมดุลย์ของ ปริมาณข้าว รสชาติข้าว วาซาบิ และปริมาณเนื้อปลาที่ดี เป็นศาสตร์อาหารที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างเข้มงวด
  2. Maki Sushi
    Maki Sushi มีลักษณะเป็นข้าวปั้นห่อสาหร่าย หรือที่บ้านเรารู้จักกันในชื่อของ Sushi Roll ทราบไหมว่า Maki Sushi นี้เป็นซูชิสไตล์ใหม่ที่เกิดจากการปรับปรุงรูปแบบซูชิให้เข้ากับชาวตะวันตก โดยม้วนเข้า

สล็อต

กับสาหร่ายให้กินง่าย ส่วนวิธีการม้วนนั้น จะมีแบบที่สาหร่ายอยู่ด้านนอกและสาหร่ายอยู่ด้านในด้วย โดยจะวางข้าวเป็นแนวยาว แล้ววางเนื้อปลาหรือไส้อื่นๆ เอาไว้ด้านบน ก่อนจะห่อด้วยไม้ห่อแบบพิเศษที่มีลักษณธเหมือนมู่ลี่ ก่อนจะนำมาตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ พอดีคำ

  1. Temaki Sushi
    Temaki Sushi แปลตรงตัวได้ว่า เป็นซูชิแบบที่ม้วนด้วยมือ ต่างกับ Maki Sushi ตรงที่เชฟจะห่อข้าวซูชิและไส้ต่างๆ ด้วยสาหร่ายกรอบให้เป็นรูปกรวย จะได้ถือกินได้ง่าย ปกติซูชิประเภทนี้จะมีไส้หลายอย่าง ไม่จำกัดที่ปลาชนิดเดียว อาจจะใส่อาโวคาโ หรือไข่ปลาหลากหลายผสมลงไป เป็นอีกซูชิสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยม

สล็อตออนไลน์

  1. Gunkan Sushi
    Gunkan Sushi เป็นซูชิที่ใช้สาหร่ายพันรอบข้าว แล้วโปะเครื่องต่างๆ ไว้ด้านบน คำว่า Gunkan ในภาษาญี่ปุ่นนั้นหมายถึงเรือรบ เนื่องจากหน้าตาของซูชิแบบนี้ดูคล้ายเรือรบนั่นเอง Gunkan Sushi เกิดขึ้นจากการทดลองทำซูชิจากวัตถุดิบแบบใหม่ๆ อย่างไข่กุ้ง อิคุระ หรือไข่หอยเม่น ที่เป็นวัตถุดิบที่ไม่ไม่เกาะเป็นก้อน ทำให้ต้องใช้สาหร่ายในการช่วยพยุงเอาไว้
  2. Chirashi Sushi
    Chirashi Sushi นี้ บ้านเรารู้จักกันในนาม “ข้าวหน้าปลาดิบ” นั่นเอง จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นปลาดิบก็ได้ อาจจะเป็นไข่ปลา กุ้งต้ม ผักต่างๆ รวมไปถึงไข่หวานซอยเป็นเส้น โรยไปบนข้าวให้มีสีสีนสวยงาม

jumboslot

น่ากิน ประเด็นสำคัญของ Chirashi Sushi นั้นคือการใช้ข้าวซูชิ หรือข้าวสวยคลุกน้ำส้ม แล้วโรยหน้าด้วยเครื่องต่างๆ เท่านั้นเอง

  1. Oshi Sushi
    Oshi Sushi แปลตรงตัวก็คือ “ซูชิกด” เป็นซูชิในสไตล์คันไซ ที่จะนำเอาข้าวซูชิและปลาดิบเรียงลงในกล่องแล้วกดทับให้แน่น จนความอร่อยของปลาซซึมเข้าไปในข้าว หน้าตา Oshi Sushi นี้อาจดูคล้ายๆ กับ Nigiri Sushi แต่จะต่างกันตรงที่จะใช้การกดข้าวให้แน่นแทนการปั้น โดยตัวซูชิจะมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม เพราะเกิดจากการอัดในแม่พิมพ์และนำมาตัดแบ่งให้เป็นชิ้นพอดีคำนั่นเอง

slot

  1. Inari Sushi
    Inari Sushi หรือซูชิเต้าหู้หวาน เป็นการนำข้าวซูชิที่ปรุงรสเพิ่มมายัดลงในเต้าหู้ทอดรสชาติหวานมัน ที่มีลักษณะเป็นถุง ชื่อ Inari นั้นตั้งตามชื่อของเทพเจ้า Inari ของญี่ปุ่น ที่มีความเชื่อกันว่าโปรดปรานเต้าหู้ทอดเป็นที่สุด Inari Sushi เป็นซูชิกินง่าย ฉะนั้นจึงถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว ญี่ปุ่นชอบการกินแบบนี้มากค่ะ

รู้จักอาหารหลักญี่ปุ่น 5 ชนิด

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ และอาหารญี่ปุ่นก็มีให้เลือกรับประทานหลากหลายเมนู ทำจากวัตถุดิบที่เน้นคุณภาพสูงและความสดใหม่ ทำให้เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมอาหารที่เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก ในหัวข้อนี้จะขอแนะนำอาหารญี่ปุ่นน่าลิ้มลอง 10 ประเภท ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตั้งแต่กรรมวิธีการทำจนถึงวิธีรับประทาน

jumbo jili

  1. ซูชิ (Sushi)
    ซูชิ คืออาหารที่ทำขึ้นด้วยการนำชิ้นปลาดิบประเภทต่างๆแล่เป็นชิ้นพอดีคำและวางบนข้าวที่ปั้นเป็นก้อนขนาดใกล้เคียงกันซึ่งข้าวที่นำมาทำซูชินั้นจะมักจะมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชูและวาซาบิ สำหรับซูชิที่ไม่ใส่วาซาบิจะมีชื่อเรียกว่า วาซาบินุกิ (Wasabi Nuki) นอกจากปลาดิบที่วางบนข้าวแล้วก็ยังมีหน้าแบบอื่นๆ ด้วย เช่นกุ้ง ปลาหมึก แตงกวา หัวไชเท้าดอง ไข่หวาน เห็ด หรือเนื้อวัวเป็นต้น เวลารับประทานนิยมจิ้มกับโชยุหรือวาซาบิเพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้น

สำหรับครอบครัวญี่ปุ่น ซูชินั้นไม่ใช่อาหารที่ทำกินกันเองตามบ้านเป็นประจำทุกวัน แต่เป็นอาหารที่กินกันในโอกาสพิเศษเป็นหลัก

สล็อต

  1. ราเมน (Ramen)
    ราเมน หนึ่งในเมนูอาหารเส้นยอดนิยมในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับการเผยแพร่มาจากจีน จุดเด่นของราเมนอยู่ที่น้ำซุปที่มีหลายรสชาติ เช่น น้ำซุปเกลือ (Shio), น้ำซุปเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น (Miso), น้ำซุปจากโชยุ (Shoyu), หรือน้ำซุปจากการเคี่ยวกระดูกหมู (Tonkotsu) โดยนอกจากซุปมาตรฐานสี่อย่างแล้ว ยังมีราเมนสูตรเฉพาะในแต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศอีกด้วย ในชามราเมนนอกจากเส้นกับน้ำซุปแล้วก็ยังมีเครื่องเคียงต่างๆ เช่นชาชูหรือหมูสไลด์ เนื้อวัว สาหร่ายทะเล ไข่ต้ม ต้นหอม หน่อไม้ และผักต่างๆ

สล็อตออนไลน์

  1. ทงคัตสึ (Tonkatsu)
    คือเนื้อหมูสันนอกหั่นชิ้นหนาเล็กน้อย ชุบกับไข่และแป้งปรุงรส คลุกเกล็ดขนมปัง ก่อนจะนำลงไปทอดในน้ำมันร้อนจัดให้กรอบนอกนุ่มใน

นี่เป็นอาหารยอดนิยมอย่างนึงที่มักจะทำรับประทานเองกันที่บ้าน เวลาเสิร์ฟก็มักจะมีซอสสูตรพิเศษที่เป็นซอสของทงคัตสึโดยเฉพาะ รสชาติออกหวานอมเปรี้ยว หรือจะรับประทานกับซอสผสมมิโสะก็ได้ แล้วก็มีเครื่องเคียงยอดนิยมเป็นกะหล่ำปลีหั่นเป็นเส้น (อาจจะใส่น้ำสลัดเพิ่มตามชอบ) นอกจากนี้หากนำไปรับประทานโดยโปะบนข้าวสวย พร้อมน้ำซุปดาชิกับไข่ข้นราดบนข้าว ก็จะเรียกว่า คัตสึด้ง ซึ่งเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

jumboslot

  1. นิคุจากะ (Nikujaga)
    วัตถุดิบหลักสองอย่างคือเนื้อวัวต้มกับมันฝรั่งในน้ำซุปดาชิ เรียกได้ว่าเป็นสตูว์ในสไตล์ญี่ปุ่น และมักจะมาพร้อมกับส่วนประกอบอื่นๆอีกหลายอย่าง แครอท หอมหัวใหญ่ ถั่วลันเตา ปรุงรสด้วยน้ำตาล โชยุ สาเก มิริน เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีกลิ่นหอมและมักจะมีสีน้ำตาล หรือบางที่อาจเพิ่มสีสันสดใสด้วยผักหลายชนิด นิยมรับประทานกันในฤดูหนาวเพื่อช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น

นอกจากนี้นิคุจากะยังเป็นอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่จัดอยู่ในประเภทอาหารครอบครัว ที่ส่วนใหญ่จะทำรับประทานกันเองในบ้าน และไม่ได้เป็นอาหารชื่อดังที่ชาวต่างชาตินิยมสั่งตามร้านอาหาร แต่เราก็อยากแนะนำให้ทุกท่านลองสั่งดูซักครั้ง

slot

  1. โซบะ (Soba)
    คืออาหารเส้นที่ทำมาจากแป้งบัควีต และเมนูที่ทำจากโซบะก็มีหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งยังมีแบบร้อนกับแบบเย็นให้ได้เลือกรับประทานตามฤดูกาล

โซบะสามารถหารับประทานได้ทั่วไปในญี่ปุ่นทั้งในท้องถิ่นและตามเมืองใหญ่ มีเครื่องเคียงหลายแบบเช่น วาซาบิ เทมปุระ อินาริซูชิ (เต้าหู้ทอดห่อข้าว) เนื้อปลาโอตากแห้ง (Katsuobushi) หรือจะนำโซบะไปทำเป็นอาหารอย่างอื่นเลยก็ได้ เช่น นำไปใส่ในแกงกะหรี่

ความพิเศษอีกอย่างของโซบะก็คือ วิธีกินหลายวิธีมีการแยกซอสที่จุ่มเส้นกับเส้นออกจากกัน สามารถจุ่มซอสเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยได้ เช่นซอสโซบะสึยุ อีกทั้งน้ำต้มโซบะก็มีคุณค่าทางอาหารมาก นิยมรับประทานเป็นน้ำซุปด้วย คนญี่ปุ่นถือการกินนี้เป็นวัตธนธรรมสืบต่อกันมา

รู้จักวัตถุดิบเฉพาะของอาหารญี่ปุ่น 10 ชนิด

ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นกันเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็อย่างที่เชฟหลายคนบอกไว้ว่าการรู้จักวัตถุดิบในอาหารแต่ละชนิด จะยิ่งทำให้เราได้รู้คุณค่าและเข้าใจความอร่อยมากขึ่้นกว่าเดิม วันนี้เราจึงพาไปทำความรู้จักกับวัตถุดิบ 10 ชนิดที่พบได้บ่อยในเมนูอาหารญี่ปุ่นทั่วไป ซึ่งจะทำให้การกินอาหารญี่ปุ่นครั้งหน้าของคุณอร่อยขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน

  1. วาซาบิ (Wasabi)
    หนึ่งในวัตถุดิบญี่ปุ่นซึ่งคนไทยน่าจะรู้จักกันมากที่สุด แม้จะมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับพริก แต่ความเผ็ดร้อนของวาซาบินั้นก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตรงที่ไม่ได้เผ็ดร้อนบริเวณลิ้น แต่เป็นความเผ็ดแบบฉุนขึ้นจมูกจนอาจทำให้น้ำตาไหลได้หากทานในปริมาณที่มากเกินไป
    แต่ต้องบอกว่าวาซาบิส่วนใหญ่ที่เราได้กินกันจะไม่ใช่วาซาบิแท้หรือวาซาบิสด แต่จะเป็นวาซาบิเทียมที่ทำมาจากฮอร์สแรดิชผสมกับผงมัสตาร์ดและแป้ง เนื่องจากมีราคาถูกกว่า และเก็บได้นานกว่าวาซาบิสด โดยทั่วไปจะมีเฉพาะร้านอาหารหรูๆหรือร้านซูชิราคาแพงเท่านั้นที่เสิร์ฟวาซาบิสดให้ ซึ่งจะได้กลิ่นที่หอมกว่า และให้รสเผ็ดแสบยาวนานกว่าวาซาบิ

jumbo jili

เทียม โดยจะเห็นได้จากการนำต้นวาซาบิมาฝนกับหนังฉลาม ซึ่งต้นวาซาบิจริงๆหนึ่งต้นที่นำมาใช้นั้นมีราคาค่อนข้างสูง (หลายร้อยถึงหลักพันบาท) สาเหตุที่มีราคาแพงก็เพราะว่าวาซาบิเป็นพืชที่ปลูกได้ยาก โดยมีเงื่อนไขหลักคือต้องปลูกในที่ดินที่มีน้ำสะอาดไหลผ่าน และน้ำจะต้องมีอุณหภูมิประมาณ 13-18 องศา แม้ในประเทศญี่ปุ่นเองก็พื้นที่มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถปลูกวาซาบิได้
เมนูที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีกับการทานคู่กับวาซาบิก็คือ “ซูชิ” สาเหตุเป็นเพราะวาซาบินั้นมีคุณสมบัติช่วยขจัดแบคทีเรียและพยาธิต่างๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่บนเนื้อปลาดิบ และรสเผ็ดร้อนของมันยังช่วยดับกลิ่นคาวปลาอีกด้วย นอกจากการเป็นเครื่องเคียงแล้ว ยังนิยมเอาวาซาบิไปผสมกับน้ำสลัดหรือมายองเนส เพื่อเอาไปทานคู่กับสลัด แซนด์วิช ไปจนถึงขนมญี่ปุ่นหลายชนิดที่นำวาซาบิไปผสมเพื่อให้มีสีเขียวอ่อนน่าทาน และเป็นผงสร้างรสชาติของขนมคบเคี้ยวยี่ห้อดังๆ อีกมากมาย

  1. คินาโกะ (Kinako)
    คินาโกะ หรือผงถั่วเหลืองคั่ว เป็นวัตถุดิบที่เอาไว้ทานคู่กับขนมญี่ปุ่นมายาวนานหลายร้อยปี โดยในอดีตนั้นจะนำมาคลุกหรือทานคู่กับขนมโมจิและดังโงะ ส่วนคนไทยอาจจะคุ้นเคยจากการทานคู่กับโมจิหยดน้ำที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ โดยจุดเด่นและเหตุผลในการใช้คินาโกะคู่กับขนมต่างๆ คือการช่วยเพิ่มเนื้อสัมผัสให้กับขนม และเพิ่มความหอมที่ได้มาจากการคั่ว หากมองเผินๆ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าคินาโกะเป็นน้ำตาลทรายแดง หรือคิดว่ามีการผสมน้ำตาลเข้าไปด้วย แต่รสหวานที่ได้นั้นส่วนใหญ่มาจากตัวขนม ตัวคินาโกะไม่ได้มีความหวานมากไปกว่าความหวานธรรมชาติของถั่วเหลือง

สูตรในการทำคินาโกะนั้นใช้แค่ถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียวนำไปคั่วด้วยไฟกลางบนกระทะจากนั้นจึงนำไปปั่นด้วยเครื่อง ไม่มีการผสมวัตถุดิบอื่นเข้าไปอีก และนอกจากการนำไปทานคู่กับขนมแล้ว คนญี่ปุ่นยังนำคินาโกะไปโรยหน้าอาหารชนิดอื่นๆ อีกทั้งนมถั่วเหลือง โยเกิร์ต หรือสลัด เป็นต้น

สล็อต

  1. คัตสึโอะ บุชิ (Katsuobushi)
    คัตสึโอะ บุชิ หรือปลาคัตสึโอะตากแห้ง เป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญของเมนูอาหารญี่ปุ่นมากมายที่ช่วยสร้างความหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งกว่าจะมาเป็นคัตสึโอะ บุชินั้น กรรมวิธีในการผลิตคือต้องนำเนื้อปลาคัตสึโอะ (ปลาทูน่าชนิดหนึ่ง) แบบไม่มีไขมันผสม มารมควัน ตากแห้ง และหมักด้วยเชื้อรา จนเนื้อปลาแปรสภาพเป็นก้อนดำๆ แข็งๆ เหมือนท่อนไม้

เมื่อจะนำมาใช้ประกอบอาหาร ก็จะต้องนำก้อนเนื้อปลานี้มาขูดให้เป็นแผ่นบางๆ ซึ่งคัตสึโอะ บุชินั้นนิยมนำไปใช้ในสองรูปแบบหลักๆ คือโรยหน้าอาหาร เช่นโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ และนำไปเป็นส่วนผสมในการทำน้ำซุปดาชิ ซึ่งเป็นน้ำซุปพื้นฐานของอาหารประเภทต้มแทบทั้งหมดของญี่ปุ่น จึงเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของอาหารญี่ปุ่นและเป็นวัตถุดิบที่ต้องมีทุกบ้าน

  1. คอมบุ (Kombu)
    จากที่ได้พูดถึงน้ำซุปดาชิ น้ำซุปพื้นฐานในการทำอาการประเภทต้มของญี่ปุ่นแทบทุกเมนูไป ซึ่งส่วนผสมหลักของน้ำซุปดาชินอกจากจะใช้คัตสึโอะ บุชิแล้ว ก็ยังมีสาหร่ายคอมบุเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมหลัก โดยจุดเด่นของสาหร่ายคอมบุคือรสสัมผัสที่เหนียว หนึบ และช่วยเก็บรสชาติของน้ำซุปเอาไว้ได้เป็นอย่างดี และยังได้รับฉายาว่าเป็น “เจ้าแห่งสาหร่าย” ในบรรดาสาหร่ายหลากหลายชนิดของญี่ปุ่น เนื่องจากมีรส ”อูมามิ” อยู่ในตัว เมื่อนำไปประกอบอาหารอย่างอื่นแล้วจึงทำให้อร่อยได้ง่าย รูปแบบของสาหร่ายคอมบุที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือแบบอบแห้ง ซึ่งสามารถเก็บไว้ได้นาน นอกจากการนำไปต้มกับน้ำซุปแล้ว ยังนิยมนำไปหั่นเป็นเส้นๆ แล้วใส่เป็นส่วนผสมในเมนูต้มต่างๆ หรือใส่ในสลัดรวมกับผักชนิดอื่นๆ

สล็อตออนไลน์

  1. มิโสะ (Miso)
    มิโสะ หรือเต้าเจี้ยวบด เป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบประจำครัวญี่ปุ่นที่คนไทยหลายคนเองก็คงคุ้นเคยจากเมนู “ซุปมิโสะ” ที่มักจะเสิร์ฟคู่กับอาหารญี่ปุ่นทุกครั้ง แต่รสชาติอันเข้มข้นของมิโสะก็ยังถูกนำไปสร้างสรรค์เป็นเมนูต่างๆได้อีกมากมาย หนึ่งในนั้นที่พบอย่างแพร่หลายก็คือการนำไปใช้เป็นหนึ่งในประเภทน้ำซุปหลักของราเม็งที่เรียกว่า “มิโสะราเม็ง” น้ำซุปสำคัญของราเม็งญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมสูงคู่กับ “โชยุราเม็ง” (ซีอิ๊ว) หรือ “ชิโอะราเม็ง” (เกลือ) และยังนิยมนำไปทำเป็นซอสของอาหารอีกหลายๆ ประเภท ทั้งเมนูปิ้ง ย่าง ซุป แม้ว่าในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะนิยมซื้อมิโสะแบบสำเร็จรูปตามซูเปอร์มาเก็ตเป็นหลัก เนื่องจากกรรมวิธีในการหมักนั้นใช้เวลายาวนานหลายเดือน

ในประเทศญี่ปุ่นนั้น แต่ละภูมิภาค แต่ละเมืองต่างก็มีสูตรในการหมักมิโสะแตกต่างกันออกไป ทำให้ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่ก็มีความหลากหลาย และสะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

  1. ชิโสะ (Shiso)
    ชิโสะ เป็นพืชในตระกูลเดียวกับกระเพราและโหระพา ซึ่งมีใบที่มีกลิ่นฉุน และแบ่งออกเป็นสองชนิดหลักๆ ตามสีของใบก็คือชิโสะแดงและชิโสะเขียว แต่คนไทยจะคุ้นเคยกับการนำใบชิโสะมาตกแต่งจานอาหารญี่ปุ่นกันมากกว่าจะได้ลิ้มรสจริงๆ (เช่นนำมารองซูชิ) เพราะรูปทรงของใบชิโสะนั้นมีความสวยงาม มีขนาดใหญ่พอเหมาะสำหรับวางซาชิมิหรือซูชิ และยังมีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวได้อีกด้วย

แต่นอกจากการนำมาประดับจานแล้ว ที่ญี่ปุ่นนั้นนิยมนำใบชิโสะแดงไปเป็นส่วนผสมสีในของหมักดองหลายๆ ชนิดเช่นบ๊วยดอง หรือขิงดอง หรือนำไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงโรยข้าวสไตล์ญี่ปุ่น และด้วยสรรพคุณในการรักษาโรค แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จึงมีการนำไปชิโสะไปต้มเป็นชา หรือน้ำใบชิโสะที่ช่วยสร้างความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

jumboslot

  1. โทบิโกะ (Tobiko)
    คนไทยอาจเรียกไข่ชนิดนี้ว่า “ไข่กุ้ง” แต่ที่จริงแล้วไข่ที่ว่านี้มาจากไข่ของปลาสองชนิด คือปลาแคปลินหรือปลาไข่ และปลาบิน (Flying Fish) ส่วนไข่กุ้งที่ญี่ปุ่นจะเรียกว่า “เอบิโกะ” และมีราคาค่อนข้างแพง

รสสัมผัสของโทบิโกะเมื่อเคี้ยวจะรู้สึกกรุบๆ และมีรสชาติเค็มนิดๆ เรามักจะเห็นไข่โทบิโกะนี้เสิร์ฟมาในรูปแบบซูชิทั้งแบบห่อสาหร่าย หรือแบบที่นำข้าวไปคลุกกับไข่ปลาโดยรอบ ด้วยสีสันที่สดใสและรสชาติที่ไม่โดดเด่นมาก ทำให้โทบิโกะถูกนำมาใช้กับอาหารอีกหลายประเภท ส่วนใหญ่คือเพื่อสร้างสีสันและความน่าสนใจให้กับอาหาร มักจะพบในการเอาไปโรยหน้าบนสลัด ข้าว เมนูอาหารทะเลต่างๆ รวมถึงสปาเกตตี้แบบญี่ปุ่นด้วย

  1. คามาโบโกะ (Kamaboko)
    คามาโบโกะ หากเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ “ลูกชิ้นปลาญี่ปุ่น” แม้ว่าจะมีวิธีการผลิตคล้ายกันคือนำเนื้อปลามาบดผสมกับแป้งและเกลือเล็กน้อย แต่จุดประสงค์หลักในการใช้ประกอบอาหารนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก และยังมีความพิเศษตรงที่คามาโบโกะนั้นมีสีสันที่สวยงามสะดุดตา ทำให้คามาโบโกะนั้นมีไว้ตกแต่งจาน มากกว่าจะใส่ไปเยอะๆเพื่อกินเอาอิ่ม แบบลูกชิ้นทั่วไป

โดยคนไทยอาจจะคุ้นเคยจากร้านราเม็งชื่อดังในเมืองไทยที่เสิร์ฟราเม็งพร้อมกับคามาโบโกะที่เป็นรูปเลข 8 มาให้ทุกชาม และนอกจากการเสิร์ฟในชามราเมงแล้ว คนญี่ปุ่นยังนิยมนำไปตกแต่งข้าวกล่อง หรือกินเล่นๆ ก็ได้ และในบางเมืองที่มีการผลิตคามาโบโกะกันอย่างจริงจัง ในช่วงเวลาพิเศษก็ยังมีการผลิตคามาโบโกะที่หั่นออกมาแล้วเป็นรูปสวยๆ เช่นซากุระในฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย

slot

  1. เทนคาสุ (Tenkasu)
    เทนคาสุ คือแป้งทอดสำหรับเอาไว้โรยหน้าอาหารชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ “ทานุกิอุด้ง” ที่ถือเป็นสูตรบังคับที่ต้องโรยเทนคาสุลงไปด้วย แต่ในปัจจุบันก็มีการนำมาโรยหน้าอาหารอื่นๆ เช่นบนทาโกะยากิหรือโอโคโนะมิยากิ

ลักษณะของเทนคาสุจะเป็นเหมือนเศษแป้งทอดชิ้นเล็กๆ จุดประสงค์หลักคือเพื่อเอาไว้เพิ่มรสสัมผัสของความกรุบกรอบของอาหาร หากเปรียบเทียบกับอาหารไทย ก็คงจะคล้ายๆ “กากหมู” ที่เอาไว้โรยหน้าเมนูก๋วยเตี๋ยว แต่รสชาติอ่อนกว่า โดยเทนคาสุนั้นไม่ใช่เศษแป้งทอดที่เหลือมาจากการทอดอาหารชนิดอื่นๆ แต่จงใจทำขึ้นจากการนำแป้งเทมปุระหรือแป้งสำหรับชุบแป้งทอดชนิดอื่นๆ มาทอดโดยเฉพาะ และสำหรับคนที่ไม่มีเวลาทอดเอง ที่ญี่ปุ่นก็ยังมีขายเทนคาสุแบบสำเร็จรูปในถุงหลากหลายขนาดให้เลือกตามต้องการ

  1. ยูซุ (Yuzu)
    ยูซุ คือส้มสายพันธุ์หนึ่งของญี่ปุ่นที่มีลักษณะเฉพาะคือมีหน้าตาคล้ายเลมอน ผิวหนา เนื้อน้อย ทำให้ส่วนใหญ่แล้วคนไม่นิยมนำส้มยูซุมาบริโภคโดยตรงเหมือนส้มชนิดอื่นๆ แต่จะนำส่วนต่างๆ เช่นผิวส้มที่มีความหนาเป็นพิเศษ (ซึ่งทำให้มีน้ำมันผิวส้มอยู่เยอะ และมีกลิ่นหอมสดชื่น) มาใช้ในการแต่งกลิ่นอาหาร ไปจนถึงผสมในเครื่องดื่มและขนม ที่พบบ่อยที่สุดคือการนำผิวส้มบวกกับเนื้อส้มมาทำซอสยูซุหรือน้ำสลัดยูซุ ซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานและมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ หรือนำไปตากแห้งเพื่อทำเป็นชายูซุก็มี

นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาว คนญี่ปุ่นในบางพื้นที่ยังนิยมนำใส่ส้มยูซุลงไปบ่อน้ำร้อนก่อนที่จะลงไปแช่ ซึ่งทำให้ได้ทั้งความหอม และสรรพคุณในด้านการช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดความเครียด และช่วยบำรุงผิวพรรณเป็นอย่างดี คนญี่ปุ่นชอบการท่องเที่ยวและการกินมาก