รู้จักสวนน้ำญี่ปุ่น สวัสดิการดีๆของแม่และเด็ก

ฤดูร้อนของญี่ปุ่นก็ได้ผ่านไปแล้ว แม่บ้านเมกุโระขอแชร์ประสบการณ์ฤดูร้อนนี้กับลูกชายมาฝากทุกคนนะคะ มาดูกันว่าญี่ปุ่นมีสวนน้ำที่ฟรีและดีอยู่ทุกเมืองได้ยังไง

จาบูจาบูอิเคะ ??
เมื่อพูดถึงหน้าร้อน ก็ต้องเล่นน้ำใช่มั้ยคะ ญี่ปุ่นเองก็มีสระว่ายน้ำประจำเมืองมากมาย แต่สระว่ายน้ำที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบลงเล่นน้ำในสระผู้ใหญ่ค่ะ นอกจากจะเป็นสระที่ทำสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ซึ่งเอาเข้าจริงก็หาค่อนข้างยาก ไม่ได้มีทุกที่ แม้แต่ในโตเกียวก็มีไม่เยอะเท่าที่ควร สระที่เรียกว่า “จาบูจาบูอิเคะ” จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ ได้พาไปเล่นสร้างเสริมทักษะและพัฒนาการเด็กในช่วงหน้าร้อนได้ดีจริง ๆ ค่ะ
จาบูจาบูอิเคะ มาจากคำว่า
• จาบูจาบู (じゃぶじゃぶ หรือ ジャブジャブ) ที่เป็นเสียงน้ำกระเด็นมาจากการเล่นน้ำ
• อิเคะ (池) ที่แปลว่าบ่อน้ำค่ะ
จึงรวมกันเป็นบ่อน้ำสำหรับเล่นน้ำนั่นเองค่ะ

jumbo jili

จากในภาพ จาบูจาบูอิเคะมักจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกึ่งกลางระหว่างสระว่ายน้ำและแม่น้ำจำลองค่ะ มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง ส่วนใหญ่จะเป็นบ่อน้ำที่มีน้ำไหลผ่านเป็นชั้น ๆ ความสูงของน้ำตั้งแต่ตาตุ่มจนถึงเอวของเด็กค่ะ เพื่อที่เด็กเล็กจะเล่นได้ไม่จม จะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ นี่คือบ่อน้ำสำหรับเด็กเล็กๆที่ยังว่ายน้ำไม่เป็นนั่นเอง
สระแบบนี้จะมีอยู่ในทุกเมือง เพราะทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทำไว้นั่นเองค่ะ เหมือนเป็นสวัสดิการให้ประชาชน ที่สำคัญไม่เสียค่าเข้าด้วยนะคะ

จาบูจาบูอิเคะมีที่ไหนบ้าง?
จาบูจาบูอิเคะก็เหมือนกับโรงยิมออกกำลัง สวนสาธารณะ หรือสวนเด็กเล่น ที่ญี่ปุ่นจะมีคนบริหารดูแลและใช้งบประมาณโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เช่นตำบลหรืออำเภอ ที่มีรายได้ผสมจากงบประมาณกลางจากรัฐบาลและภาษีผู้อยู่อาศัยจากคนที่อาศัยอยู่ในเมืองค่ะ สวนน้ำแบบนี้มักจะอยู่ในสวนสาธารณะ หรืออาจจะตั้งโดดๆ ในพื้นที่ๆเป็นของรัฐบาลท้องถิ่น สามารถเล่นได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะในประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่ประชาชนควรมีค่ะ
จาบูจาบูอิเคะมีหลากหลายรูปแบบมากดีไซน์และการออกแบบไม่ซ้ำกันเลยค่ะ เราได้ลองไปมาหลายๆที่เลยเจอมาหลายแบบ ตัวอย่างเช่น

สล็อต

• ที่ Komazawa Olympic Park จะเป็นรูปแบบสระน้ำที่ลดหลั่นระดับกันลงมา มีน้ำพุขนาดใหญ่ 2 จุด ใครบ้านอยู่แถวนี้สนุกเลย
• ที่ Shinjuku Chuo Park เป็นขั้นบันไดให้เด็กปีนป่าย มีน้ำตกขนาดยาวให้เด็กได้เล่น
• ที่ Renshi no Mori Park เป็นสไตล์แม่น้ำและป่า ใช้ก้อนหินเรียงกันทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ บ่อปลายสุดเหมือน Lazy Pool มีการให้เด็กใส่ห่วงยางลอยเท้งเต้งกันอย่างสนุกสนาน ส่วนปลายบ่ออีกด้านมีปืนฉีดน้ำขนาดยักษ์และหน้าผาให้โตขึ้นมาหน่อยได้ปีนป่าย

นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่เอามาให้ดูกันค่ะว่าดีไซน์และความครีเอทขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่นเลย เพราะมีงบเลยสามารถดีไซน์กันได้เต็มที่ ภาครัฐทำได้ดีไม่ต่างจากเอกชนเลยค่ะ
แถวบ้านของแม่บ้านเมกุโระก็มีจาบูจาบูอิเคะ 2 ที่ในรัศมีรอบบ้าน 2 กิโลเมตร ขี่จักรยานไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ เล่นไปหยุดพักกินของว่างไปแล้วกลับไปเล่นน้ำใหม่ กลับบ้านสลบเหมือดทั้งแม่และลูก

สล็อตออนไลน์

กฎและข้อปฏิบัติ
เช่นเดียวกับสระว่ายน้ำหรือสนามกีฬาที่คนใช้ร่วมกัน กฎและข้อบังคับต้องมี โดยยจะขึ้นอยู่กับจาบูจาบูอิเคะแต่ละที่ ไม่ได้บังคับตายตัว แต่หลักใหญ่เป็นข้อปฏิบัติที่จำเป็นต้องทำอย่างเครื่องแต่งกาย และสิ่งที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดความระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยในการใช้พื้นที่ร่วมกัน เช่น

• กฎเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย เช่น บางที่ต้องสวมกางเกงว่ายน้ำเท่านั้น บางที่เด็กสวมผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเล่นน้ำได้ บางที่แนะนำให้ใส่รองเท้าสำหรับใส่ในน้ำกันเด็กลื่น
• กฎเกี่ยวกับอุปกรณ์การเล่น บางที่สามารถนำอุปกรณ์เล่นน้ำอย่างห่วงยางหรือปืนฉีดน้ำมาเล่นด้วยได้ บางที่ก็ห้าม
• กฎเกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น ห้ามดื่มน้ำในบ่อ ห้ามวิ่งบริเวณบ่อเพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ หรือเมื่อผู้ดูแลเตือนต้องรับฟังและปฏิบัติตาม
• กฎเพื่อรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมโดยรวม เช่น ล้างตัวและล้างเท้าก่อนเข้าบ่อทุกครั้ง ห้ามทานอาหารในบริเวณบ่อน้ำ ห้ามนำสุนัขเข้า ห้ามทิ้งขยะ ถอดรองเท้าบริเวณรอบ

jumboslot

นอกเท่านั้น ห้ามใส่เข้าไปในบริเวณรอบบ่อน้ำ
ดังนั้นก่อนที่จะเข้าไปเล่นควรศึกษากฎและข้อบังคับบนป้ายที่ติดไว้ให้ดีนะคะ ไม่อย่างนั้นจะโดนผู้ดูแลเข้าไปตักเตือนเอานะคะ แม่บ้านเมกุโระโดนบ่อย อายแทบแย่เลยค่ะ

วันและเวลาที่เปิดให้บริการ
จาบูจาบูอิเคะจะเปิดให้บริการในช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่นเท่านั้นค่ะ เพราะเป็นบ่อน้ำกลางแจ้ง ทำให้ไม่เหมาะกับการเปิดในฤดูอื่น ๆ เพราะน้ำจะเย็นเกินไป ส่วนหน้าร้อนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเล่นน้ำ ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้สึกสดชื่น และเด็กส่วนใหญ่ก็ชอบเล่นน้ำค่ะ แต่ควรระมัดระวังในการเล่นกลางแดดเป็นเวลานานนะคะ เพราะอาจจะทำให้เด็กเป็นลมแดดและอาจจะจมน้ำได้ค่ะ

วันที่ที่เริ่มเปิดให้บริการแต่ละปีขึ้นอยู่กับแต่ละที่ค่ะ เกือบทุกที่วันและเวลาที่เปิดปิดแทบจะไม่เหมือนกันเลย โดยสามารถเช็ควันและเวลาที่เปิดปิดได้บนเว็บไซต์หรือสามารถดูบนป้ายที่จายูจาบูอิเคะว่าปีนี้จะเริ่มเปิดให้เข้าไปเล่นได้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่จนถึงวันที่เท่าไหร่ เวลาเปิดปิดวันธรรมดามักจะแตกต่างจากวันหยุดด้วยค่ะ โดยวันหยุดมักจะเปิดเร็วกว่าวันธรรมดา และทุกที่จะหยุดในวันที่ฝนตกนะคะ

slot

กิจกรรมหน้าร้อนของเด็กวัย 1-3 ขวบนอกจากจะมีจาบูจาบูอิเคะแล้ว สวนเด็กเล่นก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กันค่ะ อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าจาบูจาบูอิเคะมักจะตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ ดังนั้นบริเวณใกล้จึงมักจะมีสวนเด็กเล่น ห้องน้ำ และพื้นที่ให้เด็กวิ่งเล่น จับแมลง เล่นบ่อทราย จบครบในที่เดียวเลยค่ะ เป็นสวัสดิการของรัฐที่ไม่ต้องเสียเงินค่าบริการสักบาท ครอบครัวที่มีลูกเล็กที่มาเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงหน้าร้อนก็อย่าลืมมาลองจาบูจาบูอิเคะที่ญี่ปุ่นดูนะคะ

ส่วนตัวนั้นอยากให้ประเทศไทยมีสวัสดิการ ที่คล้ายๆกับ จาบูจาบูอิเคะบ้าง เพราะประเทศเป็นเมืองร้อน เหมาะมากที่จะมีบ่อน้ำใต้เงาต้นไม้ร่มรื่นให้เด็กๆ ได้มาเล่นกันดับร้อน และได้ออกมาเล่นข้างนอกแทนการเล่นเครื่องเล่นอยู่ภายในห้าง (อย่างคนกรุงเทพนี่ดูที่เล่นเด็กไม่หลากหลายเลย) ที่สำคัญการทำบ่อแบบจาบูจาบูอิเคะในไทยนั้นดูคุ้มค่ามาก เพราะเด็กๆจะสามารถเล่นได้ทั้งปี ไม่เหมือนประเทศญี่ปุ่นที่เปิดได้แค่หน้าร้อน ซึ่งไม่เกิน 3-4 เดือนต่อปี อยากฝากฝังหน่วยงานราชการไทยเอาไปคิดเพื่ออนาคตของเด็กไทยทุกคนด้วยนะคะ
คนญี่ปุ่นชอบการท่องเที่ยวและการกินมาก

คำศัพท์น่ารู้ของญี่ปุ่น

ในครั้งนี้เราจะมากล่าวถึง10คำศัพท์น่ารู้ของญี่ปุ่นที่ยังใช้กันประจำ ซึ่งบางคำอาจมีเค้าโครงเดิมจากอดีตกันบ้างหรืออาจเป็นคำใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันแล้วพบเห็นได้ทั่วไปทั้งในการทำงาน การท่องเที่ยว และการใช้ชีวิตประจำวัน มาทดสอบกันว่า10ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้คุณรู้จักอยู่กี่คำ
นัตโต (Nattou) 納豆 (なっとう)
ความหมาย = นัตโต คือถั่วเน่า อาหารของญี่ปุ่น
นัตโตหรือถั่วเน่าญี่ปุ่นนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวญี่ปุ่น กินกันทั่วประเทศแต่เป็นที่นิยมตั้งแต่ทางตอนเหนือของคันโตขึ้นไปค่ะ เป็นอาหารซึ่งเกิดจากการนำเอาถั่วไปหมักกับแบคทีเรียดีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Bacillus subtilis ทำให้เกิดลักษณะเม็ดถั่วมีกลิ่นแรง มีเส้นยืดเหนียวๆโดยรอบ เมนูกลิ่นแรงรสอร่อยนี้หากเปรียบเทียบกับอาหารไทยก็คงเหมือนปลาร้าบ้านเรา ที่แม้แต่ชาวไทยเองก็ใช่ว่าทุกคนจะรับประทานได้ ต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วยค่ะ นับว่าเป็นอาหารที่รับประทานยากทั้งสำหรับชาวต่างชาติอย่างเราและชาวญี่ปุ่นเองเลย

โดยทั่วไปแล้วคนญี่ปุ่นมักรับประทานนัตโตกับข้าวสวยร้อนๆพร้อมด้วยโชยุค่ะ หรือนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารอื่นๆเพิ่มเติม เช่นซูชินัตโต ข้าวปั้นนัตโต เป็นต้น แต่สำหรับวิธีรับประทานของมือใหม่นั้นควรทานเคียงกับมัสตาร์ด หัวไชเท้าฝาน และวาซาบิเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และการรับรสบางประการที่อาจทำให้รู้สึกว่ารับประทานนัตโตะได้ยาก จึงจะสามารถทำให้รับประทานได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

jumbo jili

โออิชี่ (Oishii) 美味しい (おいしい)
ความหมาย = อร่อย
โออิชี่เป็นคำพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นและอุทานหรือบรรยายถึงรสชาติอาหารอร่อย ถ้าพิจารณาจากตัวคันจินั้น โออิชี่จะมาจากการประกอบคำว่า 美 (บิ) ที่แปลว่างดงามสวยงาม และ 味 (อะจิ) ที่แปลว่ารสชาติ พอรวมกันมักจะอ่านได้ว่า บิมิ
ส่วนการออกเสียงว่า โออิชี่ มาจาก 美し (อิชิ) ซึ่งอดีตแปลว่าสวยงาม แต่หลังจากยุคเอโดะเป็นต้นมา คำนี้ถูกใช้ในการชมว่าอาหารอร่อยด้วย (แต่เป็นคำสำหรับผู้หญิงเป็นหลัก) โดยใช้ในการพูดถึงรสชาติอาหารอร่อยที่ตนได้สัมผัสเอง ตามสมัยนิยมจึงได้มีการลากเสียงยาม เติมอิลงท้ายแบบภาษาพูดของผู้หญิงญี่ปุ่น กลายเป็นคำว่า いしい (อิชี่) นำมาเติม お (โอ) ซึ่งปกติใช้วางหน้าคำที่ต้องการยกย่องให้มีความสุภาพหรือเป็นทางการยิ่งขึ้น กลายเป็นคำว่า おいしい (โออิชี่) ที่มีความหมายทางการในการใช้ทั่วไป
แต่ใช่ว่าจะมีแต่คำว่าโออิชี่ที่แปลว่าอาหารรสชาติอร่อยเพียงแค่คำเดียวนะ ยังมีอีกคำที่ออกไปทางภาษาพูดเสียมากกว่าที่มีความหมายตรงกัน คือคำว่า “うまい อุไม” เป็นคำสบายๆที่เป็นทางการน้อยกว่า
ตัวอย่างประโยค = ラーメンが美味しかったです。(ramen ga oishikatta desu) ราเมงอร่อยมากค่ะ
อิคิไก (Ikigai) 生き甲斐 (いきがい)ความหมาย = อิคิไก คือ หลักในการดำเนินชีวิตแบบหนึ่งของคนญี่ปุ่น
อิคิไกเป็นอีกหนึ่งหลักการในการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่งของคนญี่ปุ่นค่ะ พื้นฐานมาจากคำว่า 生き (อิคิ) ที่แปลว่าชีวิตหรือการใช้ชีวิต และคำว่า 甲斐 (ไก) ที่แปลว่าเหตุผล เมื่อนำสองคำนี้รวมกันจึงอาจแปลได้ว่า เหตุผลของการใช้ชีวิตหรือเหตุผลของการมีชีวิตนั่นเอง

สล็อต

โดยพื้นฐานความคิดหลักอิคิไกนั้นคือการใช้ชีวิตของตนเองตั้งแต่ลืมตาตื่นมาในตอนเช้าให้มีความสุขในทุกๆวัน ซึ่งเป็นพิจารณาตั้งคำถามแล้วตอบตนเองจาก4องค์ประกอบหลักว่า
1 อะไรคือสิ่งที่คุณทำได้อย่างดี ในขณะเดียวกันก็ทำให้คุณความสุขที่จะทำด้วย?
2 อะไรคือสิ่งที่โลกต้องการแล้วคุณเองก็มีความสุขที่จะกระทำ?
3 อะไรคือสิ่งที่สร้างประโยชน์(เงิน)ให้กับเรา แล้วโลกก็ยังคงต้องการ?
4 อะไรคือคือสิ่งที่เราทำได้ดี แล้วก็สร้างรายได้ให้กับเราด้วย?
หากคุณตอบคำถามดังกล่าวแล้วขาดประเด็นใดไป ก็ถือว่าคุณยังปฏิบัติได้ไม่ครบตามหลักแนวคิดของอิคิไกนะ

คำถามจากแนวคิด4องค์ประกอบนี้คนญี่ปุ่นนำไปปรับใช้ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในการวางแผนชิวิตและการทำงานซะเยอะ และมักแทรกซึมมาเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานในบริษัทญี่ปุ่นด้วย เช่น ทำอย่างไรให้ทำงานแล้วมีความสุขและบริษัทเองก็ได้รับประโยชน์ด้วย
หากใครได้ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น รับรองได้ว่าคุณจะพบกับบุคคลไม่น้อยเลยที่รู้จักคำว่าอิคิไก หรือนำหลักอิคิไกมาใช้ในการทำงาน

ฮานามิ (Hanami) 花見 (はなみ)
ความหมาย = ฮานามิ คือ เทศกาลชมดอกไม้และซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ฮานามิมาจากคันจิสองคำที่รวมกันคือ 花 (ฮานะ) ที่แปลว่าดอกไม้ และ 見る (มิรุ) ที่แปลว่าดูหรือมอง หากนำสองคำนี้มารวมกันอาจแปลได้ว่าการชมดอกไม้ ไม่ใช่ซากุระอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ในหลายกรณีก็จะหมายถึงซากุระเป็นหลัก

สล็อตออนไลน์

เนื่องจากฮานามิถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ช่วงรอยต่อสมัยนาระถึงสมัยเฮอัน (ประมาณตอนปลายศตวรรษที่ 8 ถึงต้นศตวรรษที่ 9) เป็นกิจกรรมของขุนนางเป็นหลัก และด้วยปัจจัยหลากหลายด้านทำให้ดอกซากุระกลายเป็นดอกไม้หลักที่ชมกันในงานฮานามิ เพราะสมัยก่อนนั้นต้นซากุระจะปลูกแค่เพียงในพระราชวังกับบ้านขุนนางเท่านั้น (เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงฐานะตระกูลในสมัยก่อน)

แต่กว่าจะมาเป็นดอกซากุระให้เราชมทั่วเมืองได้แบบทุกวันนี้ ต้องผ่านการพัฒนาและปรับปรุงสายพันธ์อย่างหนัก (สายพันธ์โซเมอิโยชิโนะที่เราเห็นกันมากที่สุดนั้่น จริงๆเพิ่งเกิดมาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น) แถมช่วงปลายเอโดะยังมีการเผาทำลายซากุระเพราะถือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจขุนนางอีกด้วย ทำให้มีช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ซากุระลดจำนวนลงบ้าง
ในปัจจุบัน คุณค่าอีกด้านที่จับต้องได้สำหรับการชมซากุระคือการได้ไปทำกิจกรรมชมดอกไม้กันทั้งครอบครัวหรือคนที่รัก ได้ใช้เวลาดีๆในช่วงเวลาที่ดีใต้ต้นดอกซากุระนั่นเอง เทศกาลการชมดอกซากุระจึงมีความหมายมากกว่าแค่การไปชื่นชมดอกไม้ที่ผลิบาน

โอโมะเตะนาชิ (Omotenashi) おもてなし
ความหมาย = โอโมะเตะนาชิ คือ วิถีการบริการด้วยใจสไตล์ญี่ปุ่น
สำหรับคนที่ทำงานด้านต้อนรับ ทั้งงานบริการ งานร้านอาหาร หรือโรงแรม อาจจะคุ้นหูกับคำนี้อยู่บ้าง เพราะโอโมเตะนาชิคือหลักการบริการด้วยใจแบบญี่ปุ่นที่เป็นหัวใจหลักในการทำงานด้านบริการเลย ซึ่งเป็นมารยาททางธุรกิจบริการที่ควรทราบอย่างยิ่ง โดยมีหัวใจหลักในการทำงานง่ายๆคือการต้อนรับและดูแลลูกค้าเสมือนเขาเป็นญาติมิตรหรือคนในครอบครัว

jumboslot

ของเราอย่างจริงใจ ซึ่งแตกต่างการบริการลูกค้าทั่วไปที่มองว่าลูกค้าคือพระเจ้า (ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง)
เราต้องการได้บริการแบบใดกับตนเอง ก็ให้เสนอการบริการแบบเดียวกันให้กับลูกค้า ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยที่อาจสร้างปัญหาขณะที่ลูกค้าใช้บริการได้ แล้วอำนวยความสะดวกกับลูกค้าแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย ให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ นำมาสู่การกลับใช้บริการครั้งต่อไป

มังงะ (Manga) 漫画 (まんが)
ความหมาย = มังงะ คือ คำเรียกการ์ตูนแบบญี่ปุ่นแบบที่ต้องใช้การอ่านรับเรื่องราว
มังงะเป็นคำที่ไว้เรียกการ์ตูนแบบญี่ปุ่น ไม่ว่าจะลายเส้นมนหรือคม ทั้งแบบสีสดใสหรือขาวดำ แต่จะมีลักษณะที่ตรงกันคือจะมี การแบ่งช่องตอนของเรื่องราวชัดเจน มีบอลลูนคำพูดที่เป็นเอกลักษณ์งานวาดแบบญี่ปุ่น และที่สำคัญคือต้องเป็นสื่อการ์ตูนเล่มๆ ที่เราต้องอ่านเองเท่านั้นนะจึงจะนับว่าเป็นมังงะ การ์ตูนทีวีไม่นับ
หลายคนอาจมองว่ามังงะเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก แต่จริงๆแล้วมังงะมีหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แนวตลก ความรัก กีฬา วัฒนธรรม เสียดสีการเมือง ฯลฯ ลบความคิดที่ว่ามังงะเหมาะสมกับเด็กเท่านั้นไปได้เลย

นอกจากมังงะจะส่งผลต่อความชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้ว ยังมีผลต่ออุตสากรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น อุตสาหกรรมผลิตสื่อญี่ปุ่น (ทั้งการ์ตูนและอื่นๆ) รวมถึงระบบการศึกษาของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยสถานศึกษาหลายแห่งของญี่ปุ่นก็มีคณะและสาขาเกี่ยวกับการวาดมังงะเกิดขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งอาชีพเกี่ยวกับมังงะเองก็มีอัตราการแข่งขันพอสมควรทั้งจากนักเรียนญี่ปุ่นเองรวมถึงนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างชาติ

ด้วยหลากหลายเหตุผลที่กล่าวมานี้เอง มังงะถึงเป็นที่นิยมตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นเองและชาวต่างชาติ ตัวอย่างมังงะยอดนิยมอย่างเช่น ONE PIECE หรือ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน การ์ตูนดังทั้งสองเรื่องยาวที่ไม่รู้จะจบที่เมื่อไหร่เป็นต้น

ซึนเดเระ (Tsundere) ツンデレ (つんでれ)​
ความหมาย = ซึนเดเระ คือ คำที่ไว้เรียกคนที่มีลักษณะปากไม่ตรงกับใจ หรือบุคลิกภายในและภายนอกขัดแย้งกัน
ถ้าใครชอบการ์ตูน ต้องรู้ความหมายของคำนี้แน่ๆ
ใครเคยโดนหาว่าเป็นคนซึนหรือซึนเดเระบ้างคะ? สำหรับคำว่าซึนเดเระนี้มาจากการรวมคำว่า ツンツン (ซึนซึน) ที่แปลว่าร้ายกาจ โมโหร้าย และ デレデレ (เดเระเดเระ) ที่แปลว่าอ่อนหวานหรืออ่อนไหว นำมารวมกันกล่าวถึงบุคลิกของคนที่ปากไม่ตรงกับใจ หรือบุคลิกที่แสดงออกมาแข็งกร้าวไม่เป็นมิตรนักแต่แท้จริงแล้วจิตใจภายในปรารถนาดีแถมอ่อนไหวด้วยซ้ำ
เป็นคำที่เกิดจากความนิยมในตัวละครของมังงะและอนิเมะ ที่มักพบตัวละครที่มีบุคลิกซึนเดเระได้มากมาย แต่เป็นอีกหนึ่งคำที่ฮิตขึ้นมาจากการ์ตูนแต่บางทีก็ถูกนำกลับมาใช้กับบุคคลทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งการนำคำนี้ไปใช้นั้นต้องระมัดระวังเพราะเป็นคำที่ไปได้ทั้งสองทาง อาจจะดูเหมือนเอ็นดูผู้ที่ถูกเรียก หรืออาจกลายเป็นคำแง่ลบ กล่าวหาผู้ถูกเรียกก็ได้ และที่สำคัญคือ เนื่องจากเป็นคำใหม่ แม้แต่คนญี่ปุ่นเองบางคนก็ยังไม่มั่นใจว่าแปลว่าอะไร

slot

โนมิไค (Nomikai) 飲み会 (のみかい)
ความหมาย = โนมิไค คือ คำเรียกการไปดื่มกัน และงานเลี้ยงพบปะกันแบบญี่ปุ่น
โนมิไคหรืองานเลี้ยงพบปะกันแบบญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นที่บางทีชาวต่างชาติอาจเกิดความสับสนกับงานเลี้ยงฉลองทั่วไปค่ะ
โนมิไคเป็นงานเลี้ยงที่ไม่ใช่งานเลี้ยงครั้งใหญ่ในวันสำคัญ แต่เป็นงานเลี้ยงกินดื่มที่มีจุดประสงค์ในการพบปะ สังสรรค์กับเพื่อนทั่วไป คุยกันแลกเปลี่ยนความคิด ละลายพฤติกรรม รวมถึงคุยเรื่องงานก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการนัดพบปะกันของผู้นัด สามารถนัดได้ในวันธรรมดาทั่วไปหลังเลิกงาน

ถึงโนมิไคจะดูไม่เป็นทางการมาก แต่ถ้าเมมเบอร์เป็นผู้ใหญ่ หรือจัดโดยบริษัท ก็จะมีมารยาทในการกินดื่มเยอะเหมือนกันนะ
อย่างเช่น มารยาทพื้นฐานการทักทายกันหรือการที่ผู้นัดต้องมาครบกันก่อนถึงเริ่มงาน หากเป็นโนมิไคที่จัดกับเพื่อนกันเองคงไม่ซีเรียส แต่สำหรับโนมิไคที่จัดในนามของบริษัท หรือมีหัวหน้าอยู่ด้วย ผู้น้อยหรือลูกน้องก็อาจจะต้องเอนเตอร์เทนต์แล้วคอยบริการผู้ใหญ่ของงานทั้งหมด (ทั้งนี้แล้วแต่ความเคร่งของบริษัทด้วย บริษัทที่จะไม่คุยเรื่องงานเลยในโนมิไคก็มี) หรือหากมีธุระสำคัญที่ต้องคุยกันก็ต้องคุยหลังจากอาหารหมดไปแล้วซัก 2ใน3 ส่วนเป็นต้น

ข้อควรระวังหากชวนกันไปกินดื่ม หากมีเอี่ยวกับเรื่องงานก็ไม่ควรดื่มหนักจนไม่ได้สติ หรือแพ้อาหารเครื่องดื่มแบบใดก็ควรบอกกล่าวกันก่อนเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตนะคะ
หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

ประสบการณ์ทำงานจริงที่ Black company ในญี่ปุ่น

Black Company บริษัทสีดำ คืออะไร?
Black company (ブラック企業) คือบริษัทที่ใช้งานลูกน้องเเบบเกินที่กฏหมายกำหนด / มีกฏเข้มงวดเกินเหตุ / อาจมีการทำร้ายร่างกาย / ละลาบละล้วงทางวาจา / หรือลวนลามทางเพศ เป็นต้น
สรุปสั้นๆที่สุดก็คือบริษัทที่ทำผิดกฏหมายแรงงานในด้านที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของลูกจ้างโดยตรงทั้งร่างกายและจิตใจ อย่างเช่นที่เราได้ยินกันบ่อยๆก็คือการให้ทำงานเกินชั่วโมงที่กฏหมายกำหนดเป็นต้น แต่ที่จริงแล้วยังมีเหตุผลมากมายกว่านั้น
ส่วนใหญ่บริษัทสีดำนั้นมักจะมีหลายสายงาน แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นสายงานที่ทั้งคนไทยญี่ปุ่นเห็นตรงกันว่าเป็นสายที่ทำงานหนักและล่วงเวลาเยอะเช่นสายงานพวกสื่อ ดิจิตัลมีเดีย เอนเตอร์เทนเม้นท์ โฆษณา ครีเอทีฟ โรงงาน ร้านค้าปลีก เป็นต้นค่ะ แต่แน่นอนว่าสายงานอื่นก็มี ทั้งนี้แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับผู้บริหารของแต่ละที่และระบบของบริษัทว่าจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ถ้าเเจ็คพ็อตเจอคนไม่ดีเจอบริษัทสีดำก็ซวยไปค่ะ (อย่างเช่นผู้เขียนเอ๊งงงง)

jumbo jili

ถ้าทำงานที่บริษัทสีดำจะต้องเจออะไรบ้าง วันนี้ผู้เขียนจะมาเล่าให้ฟังค่ะ
*หมายเหตุ สิ่งที่ผู้เขียนจะเขียนดังต่อไปนี้ มีทั้งประสบการณ์ของผู้เขียนโดยตรงเเละประสบการณ์ของคนรอบตัวชาวญี่ปุ่น จะเขียนโดยไม่เจาะจงหรือระบุชื่อบริษัท

  1. เวลาเข้าทำงาน เลิกงานสุดโหด และวันหยุดที่น้อยยิ่งกว่าบริษัทญี่ปุ่นที่อื่น
    ผู้อ่านทุกท่านคงทราบถึงวัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่นเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องเวลาการทำงานกันบ้าง นั่นก็คือ “การตรงต่อเวลา” เเต่ถ้าคิดว่าทำเเค่นั้นเเล้วจะถูกชมล่ะก็ขอบอกเลยว่าผิดมหันต์จ้า จริงๆเเล้วมารยาทที่ดีของการทำงานที่ญี่ปุ่นต้องมาเข้าง่านก่อนเวลา ถ้าเข้างานตอน 7.00 ก็ควรมา 6.50 อันนี้ยังฟังดูปกติใช่ไหม เเต่ถ้าเป็นบริษัทดำก็มีบ้างที่ต้องมาล่วงหน้าเพื่อทำงานยิบย่อยก่อนที่จะเริ่มงานจริงด้วยค่ะ (โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง) เช่นชงกาแฟ กลับกันถ้าเป็นบริษัทที่ไม่ดำก็อาจจะมีคนทำหน้าที่อย่างนี้แน่นอนอยู่แล้วเช่นแม่บ้าน โดยไม่ต้องลำบากให้คนตำแหน่งอื่นมาทำ
    อย่างการมาสาย ปกติถ้าหากมาสายก็จะโดนดุว่าไปตามระเบียบ เเต่ถ้าเป็นบริษัทสีดำก็อาจจะไม่จบแค่นั้น เพียงเเค่ทำผิดนิดเดียวอย่างมาสาย บางคนก็อาจถูกเจ้านายเรียกไปด่า ถึงขั้นทำร้ายร่างกายและจิตใจก็มีค่ะ
    ถึงเเม้ว่าจะมาเริ่มงานก่อนเวลาไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเพียงใด เเต่บริษัทสีดำนั้นไม่มีทางเลิกตรงเวลาค่ะ โดยมักจะมีหลากหลายเหตุผลที่เเตกต่างกันออกไปเช่น
  • เจ้านายยังไม่กลับ กลับไม่ได้
  • กลับก่อนรุ่นพี่ไม่ได้
  • ต้องทำงานเเทนคนอื่นให้เสร็จ
  • มีกินเลี้ยง ไปปาร์ตี้ต้องไปกับลูกค้า หรือกับเจ้านาย (ไม่ได้ค่าทำงานล่วงเวลา เเต่จะไม่ไปก็ไม่ได้)
  • ถูกบังคับให้ทำงานให้เสร็จ (เเต่ไม่จ่ายล่วงเวลาให้)
    เป็นต้นค่ะ

สล็อต

ของทางผู้เขียนเองที่เจอมา ส่วนใหญ่จะเป็นให้ไปทำงาน ซึ่งมีกำหนดเลิก 4 ทุ่มกว่า กว่าจะเสร็จทุกอย่างเเล้วก็ปาไป 5 ทุ่ม เป็นเเบบนี้หลายอาทิตย์ติดกันเเต่เขาไม่ให้ค่าล่วงเวลา เเต่บอกว่าจะจ่ายให้เป็นโบนัสเเทนค่ะ (ซึ่งไม่จริง อย่าไปเชื่ออออ) ผู้เขียนเคยต่อรองเเล้วเเต่ก็ไม่เป็นผลค่ะ เพราะคนอื่นในบริษัทหลายคนก็ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ หนักกว่าเราก็มีแต่ไม่มีใครได้ค่าล่วงเวลาเลย (เเม้เเต่ประธานบริษัทเองก็ตาม)

ส่วนปาร์ตี้กินเลี้ยงที่ต้องไปกับลูกค้า-ผู้ร่วมงานนั้นมีทุกบริษัทไม่ว่าจะสีดำหรือธรรมดาค่ะ ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะได้ไปหรือไม่ แม้ในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นได้ลดการไปปาร์ตี้สังสรรค์หลังเลิกงาน (โดยเฉพาะแบบที่คอยบังคับลูกน้องให้ไปด้วย) ซึ่งลดกันไปเยอะเเล้ว เเต่บริษัทสีดำที่มีความจำเป็นต้องใช้การสังสรรค์เหล่านี้ในการทำความสนิทสนมกับลูกค้า ก็ยังมีการบังคับพนักงานอยู่ค่ะ ทางผู้เขียนก็ได้ไปมาหลายครั้งค่ะ ส่วนใหญ่มักจะจบปารตี้กันตอนตี2 – ตี4 เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีรถไฟวิ่งเเล้ว ทำให้ต้องนั่งเเท็กซี่กลับ จะขอออกมาก่อนก็ไม่ได้ เนื่องจากว่าเราเด็กสุดเเละผู้ใหญ่ไม่ยอมให้กลับค่ะ

  1. งานเลี้ยงหลังเลิกงานที่เลี่ยงไม่ได้ กลับก่อนก็ไม่ได้
    ปาร์ตี้กินเลี้ยงที่ต้องไปกับลูกค้า-ผู้ร่วมงานนั้นมีทุกบริษัทไม่ว่าจะสีดำหรือธรรมดาค่ะ ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะได้ไปหรือไม่ แม้ในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นได้ลดการไปปาร์ตี้สังสรรค์หลังเลิกงาน (โดยเฉพาะแบบที่คอยบังคับลูกน้องให้ไปด้วย) ซึ่งลดกันไปเยอะเเล้ว เเต่บริษัทสีดำที่มีความจำเป็นต้องใช้การสังสรรค์เหล่านี้ในการทำความสนิทสนมกับลูกค้า ก็ยังมีการบังคับพนักงานอยู่ค่ะ
    ทางผู้เขียนเองก็ได้ไปมาหลายครั้งค่ะ ส่วนใหญ่มักจะจบปาร์ตี้กันตอนตี2 – ตี4 เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีรถไฟวิ่งเเล้ว ทำให้ต้องนั่งเเท็กซี่กลับ จะขอออกมาก่อนก็ไม่ได้ เนื่องจากว่าเราเด็กสุดเเละผู้ใหญ่ไม่ยอมให้กลับค่ะ

สล็อตออนไลน์

  1. ทำงานแม้แต่ในเวลาสังสรรค์ สัญลักษณ์ของ Black Company แบบญี่ปุ่น
    นอกจากนั้น เวลาที่ไปทานข้าวกับบริษัท ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือเพราะเรื่องงาน ผู้ที่มีตำเเหน่งต่ำที่สุดก็จำเป็นที่ต้องอำนวยความสะดวกให้กับผู้อื่นเสมอ (อันนี้บริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็เป็นนะคะ ไม่ใช่เเค่บริษัทมืด เเต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เเล้วเเต่วัฒนธรรมของเเต่ละบริษัทด้วย) ผู้น้อยไม่สามารถทานข้าวอย่างเป็นสุขหรืออิ่มเเปร้เเบบคนอื่นได้ โดยมักจะมีหน้าที่เริ่มตั้งเเต่การจองร้าน ลำดับการนั่งที่นั่งในโต้ะว่าใครนั่งตรงไหน (ส่วนผู้น้อยต้องนั่งใกล้ประตูที่สุดเท่านั้น เพื่อสามารถคุยเเละสั่งอาหารกับพนักงานได้สะดวก) เเละจำเป็นที่ต้องคอยดูเเลเครื่องดื่มของคนทั้งโต๊ะว่าต้องการดื่มอะไร หมดเเล้วหรือยัง จะดื่มอะไรต่อ ส่วนอาหารจะไม่สามารถทานก่อนผู้อื่นได้ หรือบางครั้งยุ่งจนไม่ได้ทานก็มีค่ะ
    สำหรับบริษัทมืดนั้น เพียงเเค่ดูเเลเครื่องดื่มเเละอาหารนั้นไม่พอ เเต่บางคนต้องเอนเตอร์เทนหัวหน้าเเละลูกค้าด้วย ยกตัวอย่างเช่นเล่าเรื่องตลก เเสดงความสามารถพิเศษ (เช่นดื่มเบียร์ในอึกเดียว)

เรื่องเหล่านี้เหมือนว่าจะดูสนุกไม่ใช่เรื่องที่ดูเลวร้ายอะไร เเต่สิ่งต่างๆที่กล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่ออกแนวว่าต้องทำ เหมือนโดนบังคับกลายๆ ถึงจะไม่รู้สึกสนุกเเต่ก็ต้องบิ๊วตัวเองให้สนุกตลอดทั้งๆที่เลยเวลางานเเล้ว เเถมยังต้องอยู่จนถึงดึกดื่นก็เหนื่อยค่ะ ถ้าเราทำได้ไม่ดี ก็จะโดนเรียกไปด่าเป็นเรื่องเป็นราวทั้งที่ไม่ควรโดน เเละอาจกระทบกับงานที่ทำได้ด้วย

  1. เนื้อหางานไม่ตรงกับตำเเหน่งหน้าที่
    ในหลายบริษัทของญี่ปุ่น เด็กใหม่หรือคนที่พึ่งเข้าทำงาน จะถูกมองว่ามีตำเเหน่ง “ต่ำสุด” ในบริษัท เเละจำเป็นที่จะต้องให้ความเคารพรุ่นพี่ รวมถึงทำงานจิปาถะต่างๆด้วย (ยกตัวอย่างเช่นเสริฟชากาเเฟให้ลูกค้า ไปถ่ายเอกสารด้วย)

jumboslot

เเต่ในบริษัทสีดำนั้น นอกจากหน้าที่จิปาถะที่เด็กใหม่บริษัททั่วไปเขาทำกัน ก็ต้องทำงานอื่นที่นอกเหนือกับเนื้อหางานของตนเองด้วย ยกตัวอย่างเช่นทำงานเป็นฝ่ายวางเเผนธุรกิจ เเต่ต้องมาล้างห้องน้ำ ทิ้งขยะ ถูพื้้น นับสต๊อกสินค้าเป็นต้น
อย่างตัวผู้เขียนเอง ถึงเเม้จะทำงานเป็นล่ามอยู่ในเเผนกวางเเผนงาน แต่ทว่าได้ทำงานในตำเเหน่งเเละเนื้อหางานของตัวเองเพียงเเค่ประมาณ 30% ส่วนที่เหลือคือถูกรุ่นพี่เเละหัวหน้าให้ไปขายของ เตรียมสินค้า นับสต๊อก ล้างห้องน้ำ เติมเครื่องดื่มที่จะขายให้ลูกค้าในสถานที่จัดงาน ดูดฝุ่น ทิ้งขยะ ทั้งๆที่หน้าที่เหล่านั้นไม่ได้อยู่ในเนื้อหางานของผู้เขียนเลย เเละมีคนที่มีหน้าที่ที่ต้องทำสิ่งเหล่านั้นอยู่เเล้ว (ที่ยอมทำเพราะว่าเป็นเด็กใหม่ คิดเสียว่าเรียนรู้งาน เเต่สุดท้ายมาทราบว่าจริงๆเเล้วมีคนประจำตำเเหน่งนั้น ต้องมีคนช่วยเราทำ ไม่ใช่เราทำเพียงคนเดียว)

  1. ปัญหาหลักของ Black Company คือค่าล่วงเวลา วันหยุด เเละค่าตอบเเทน
    สำหรับบริษัทสีดำ ต่อให้ทำงานหนักเเค่ไหนก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเงินเดือนค่ะ เพราะโบนัสก็อาจจะไม่ได้ด้วย เงินเดือนขั้นพื้นฐานหากเปรียบเทียบกับที่ไทยเเล้วอาจจะดูเยอะ เเต่หากดูค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นเเล้ว เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นค่ะ
    หากได้ทำงานบริษัททั่วไปที่มีสวัสดิการดี มีวันหยุดที่เหมาะสม มีการจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าเดินทาง ช่วยค่าบ้าน ก็อาจจะคุ้มค่าที่ได้มาทำงานที่ญี่ปุ่นเเละมีเงินเก็บกลับไป แต่ถ้าหากได้ทำงานในบริษัทมืดที่สวัสดิการไม่ดี วันหยุดเเทบไม่มี ค่าล่วงเวลาไม่จ่าย ก็ไม่น่าคุ้มนะคะ นอกจากนั้นยังมีกรณีให้พนักงานออกเงินไปก่อนในระหว่างการทำงาน เช่นพวกค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์ต่างๆ โดยจะจ่ายคืนในภายหลัง เเต่พอถึงเวลาจริงๆก็ไม่จ่ายหรือจ่ายช้ามากๆก็มีค่ะ

พนักงานถูกบังคับให้ทำงานยันดึกดื่น เวลาที่ทำงานเกินไปโดยทางบริษัทไม่จ่ายค่าล่วงเวลาให้ (โอที) จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายในญี่ปุ่นแล้ว เเต่บางบริษัทก็มีวิธีในการหลบเลี่ยงได้ค่ะ เเละด้วยความที่คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง หากงานไม่เสร็จทำไม่ทำกำหนดส่งก็จะไม่กลับ และไม่จำเป็นต้องจ่ายโอทีก็ยอมทำ คนที่ยอมรับเรื่องเเบบนี้ก็มีเยอะค่ะ บริษัทก็สบายไป (อันนี้น่าชื่นชมในความรับผิดชอบของพนักงาน)
อย่างตัวผู้เขียนเอง ก็เคยทำงานล่วงเวลาไปถึง 50-60 กว่าชั่วโมงในเดือนเดียวโดยที่ไม่ได้อะไรเลยค่ะ (เเต่รุ่นพี่ในบริษัททำล่วงเวลากันโหดมากค่ะ หนักกว่าผู้เขียนเยอะ นับถือในความขยันมากๆ)

slot

วันหยุดของพนักงานก็จะไม่เหมือนได้หยุด อาจต้องมาทำงาน ต้องไปทานข้าว คอยอำนวยความสะดวกให้กับหัวหน้าเเละผู้บริหารเช่นไปตีกอล์ฟเป็นต้นค่ะ ส่วนตัวผู้เขียนเองก็ได้วันหยุดที่ไม่ค่อยน่าพึ่งพอใจสักเท่าไหร่ค่ะ ในวันหยุด Gloden Week ที่คนทั่วไปเขาหยุดกันเป็นอาทิตย์ บริษัทของผู้เขียนไม่ได้หยุด (เนื่องจากเป็นบริษัทที่จัดอีเว้นท์ตลอดเวลา) ก็เข้าใจได้ค่ะว่างานแบบนี้ไม่สามารถหยุดในช่วงที่คนอื่นหยุดกันได้ เเต่วันหยุดชดเชยนั้นได้เพียงครึ่งเดียวของวันหยุดที่คนอื่นได้กันค่ะ (โอทีก็ไม่ได้ วันหยุดก็ไม่มีอีก ผู้เขียนเหนื่อยใจ๋ม๊ากมากก)

  1. เพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี (ทั้งใน Black Company และบริษัททั่วไป)
    สำนวนไทยที่ว่า คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก อยากจะกรีดร้องบอกทุกคนเสียเหลือเกินว่ามัน จริ๊งงง!!
    สำหรับบริษัทสีดำนั้นเพื่อนร่วมงานก็อาจมีจิตใจดำมืดพอๆกับบริษัทก็เป็นได้ค่ะ ไม่ได้หมายความว่า 100 ทั้ง100 มีเเต่คนไม่ดี คนดีๆก็มีค่ะ เเต่คนไม่ดีที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงนั้นก็คือเพื่อนร่วมงานที่ใช้อำนาจข่มขู่ หรือเรียกว่า Power Harassment (ญี่ปุ่นเรียกว่าพาวะฮาระ) เเละล่วงละเมิดทางเพศ Sexual Harassment (เซกุฮาระ) กับเพื่อนร่วมงานด้วยกันค่ะ

ส่วนใหญ่จะพบการใช้อำนาจข่มขู่เเละล่วงละเมิดทางเพศในบริษัทสีดำอยู่เสมอค่ะ พบมากกว่าบริษัททั่วไปเพราะว่ากฏเกณท์ต่างๆของบริษัทสีดำปล่อยปละละเลยและทำให้ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าสามารถกดขี่ผู้มีตำแหน่งต่ำกว่าได้ง่ายนั่นเอง คนญี่ปุ่นจะใส่ใจในทุกๆเรื่องในการดำรงค์ชีวิต

ทำไมแม่บ้านชาวญี่ปุ่นถึงเย็นชา

วันนี้แม่บ้านจะมาเม้าท์มอยครอบครัวชาวญี่ปุ่นกันค่ะ ต้องเกริ่นไว้ก่อนนะคะว่าสภาพโครงสร้างครอบครัวที่จะเล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครอบครัว เป็นแค่ส่วนหนึ่งในญี่ปุ่น และเกิดขึ้นในยุคพ่อแม่ของเรา (สามีอายุ 50 ขึ้นไป) ครอบครัวญี่ปุ่นสมัยใหม่เปลี่ยนไปมากแล้วค่ะ ถ้าพร้อมเผือกแล้วจะเล่าให้ฟังค่ะ

ตอนอยู่ไทยก็มักจะได้ยินผู้ชายญี่ปุ่นวัยกลางคนใหญ่มีตำแหน่งสูง เช่น ผู้จัดการโรงงานที่มาทำงานในประเทศไทย บ่นให้ฟังบ่อย ๆ ว่าเค้าอ่ะนะ เป็นได้แค่ ATM หรือตู้กดเงินของภรรยาเท่านั้นแหละ แต่ก่อนก็ฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้ย้ายมาอยู่ญี่ปุ่น ได้เห็นสภาพสังคม พูดคุยกับบรรดาแม่บ้านที่ลูก ๆ โตกันไปหมดแล้วก็สรุปได้ดังนี้

jumbo jili

1 ) ผู้ชายญี่ปุ่นถูกสั่งสอนให้ทำงานนอกบ้าน
ส่วนผู้หญิงเมื่อแต่งงานก็ต้องออกจากงาน หรือถูกบังคับให้ออกจากงาน มาทำงานบ้านและเลี้ยงลูก ถูกบังคับหมายถึงการถูกกดดันจากบริษัทให้ลาออก เพราะสมัยก่อนการลาไปคลอดลูกและกลับมาทำงานเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้ผู้หญิงที่อยากทำงานรู้สึกเครียดและกดดัน หลาย ๆ ครั้งอุปสรรคไม่ได้มาจากภายนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คนในบ้านอย่างสามีก็อยากให้ภรรยาอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้แม่บ้านหลายคนเสียใจ สามีก็ไม่เข้าใจ บริษัทก็ไม่ให้โอกาส เกิดความรู้สึกด้อยค่าเมื่อไม่ได้ทำงานหรือทำตามความฝันของตน แต่ปัจจุบันรัฐบาลพยายามจัดการให้ผู้หญิงที่ลาคลอดสามารถกลับมาทำงานได้

สล็อต

2 ) ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ต่อเนื่องจากข้อ 1 ผู้ชายญี่ปุ่นแยกหน้าที่กับภรรยาชัดเจน ดังนั้นจะถือว่างานบ้านและการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของภรรยา พ่อบ้านชาวญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยช่วยเหลือดูแลลูกอย่างพ่อบ้านประเทศอื่นๆ บวกกับการทำงานในประเทศญี่ปุ่นที่เคร่งเครียด ทำเกินเวลา (โดยบางทีไม่ได้ค่า O.T.) ทำให้พ่อบ้านเหนื่อยล้า เมื่อกลับบ้านไม่มีแรงเล่นหรือดูแลลูก ทำให้ภรรยาต้องดูแลลูกแทบจะ 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาส่วนตัว จึงทำให้เกิดความเครียดทั้งต่อตนเองและความสัมพันธ์สามี – ภรรยา

สล็อตออนไลน์

3 ) จากเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
จากข้อ 2 สามีไม่พยายามเข้าใจและไม่ค่อยช่วยเหลือภรรยา แม่บ้านหลายคนหลังคลอดลูกได้กลับบ้านแทนที่จะมีความสุข กลับถูกต่อว่าเรื่องอาหารที่รสชาติแย่ลง หรืองานบ้านที่ทำไม่เนี้ยบ ไม่สะอาดเท่าเดิม ทำให้ภรรยารู้สึกน้อยใจหรือเสียใจ เกิดการสะสมความเครียด บางคนถูกเคยถูกสามีต่อว่า ว่าทำไมลูกร้องไม่หยุด? ทำพูดที่เสียดแทงจิตใจเล็กๆ น้อยๆ ทำให้กลายเป็นความเย็นชา ได้แต่ประคับประคองครอบครัวจนลูกโต หมดหน้าที่ ก็ไม่สนใจสามีในที่สุด

jumboslot

4 ) ไม่รู้ตัวว่าทำร้ายจิตใจกันแค่ไหน
พ่อบ้านมักไม่ค่อยจะรู้ตัวว่าใช้อำนาจในการปกครองครอบครัว การเลี้ยงลูกชายแบบประคบประหงมแบบคนญี่ปุ่นรุ่นก่อนรวมถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นที่ชายเป็นใหญ่ได้บั่นทอนสถาบันครอบครัวจนเหลือเพียงชื่อเรียกแต่สายใยหลายครอบครัวตัดขาดพังทลายหมดแล้ว จึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นครอบครัวญี่ปุ่นเมื่อมีลูกภรรยามักจะแยกห้องนอนอยู่กับลูก และไม่กลับมานอนกับสามีอีกเลย

slot

5 ) ต่างคนต่างอยู่
เกี่ยวเนื่องจากข้อ 1 – 4 หลังจากเกิดความร้าวฉานในครอบครัว สามีเจ้ากี้เจ้าการ ภรรยาเฉยเมย เมื่อลูกโตเข้ามหาวิทยาลัยย้ายไปอยู่หอ ภายในบ้านก็เหมือนผู้ร่วมชายคากันเฉย ๆ ต่างคนต่างอยู่ต่างทำธุระของตน ส่วนสามีถ้าได้มีโอกาสทำงานในต่างประเทศก็จะพบว่ามีเรื่องชู้สาวมากมาย

อย่างที่เรา ๆ เห็นกันทั้งในกรุงเทพฯ และชลบุรี สแน็คบาร์ (ร้านนั่งดื่มตอนกลางคืนที่มีเป้าหมายเป็นกลุ่มชายญี่ปุ่นกลางคน) ผุดขึ้นกันเป็นดอกเห็ด สมัยเศรฐกิจรุ่งเรืองเคยเห็นเลี้ยง 7 วัน 7 คนก็มี เวลาภรรยามาเยี่ยมสามีที่ไทยก็ได้นิฮงชู สาเกญี่ปุ่นอยู่บ่อย ๆ เป็นค่าปิดปาก (ฮาาา) บางคนภรรยาไม่เคยมาเยี่ยม แถมช่วงเทศกาลไม่เคยสนใจจะให้สามีกลับบ้าน แค่ส่งเงินไม่ขาดเท่านั้นพอ หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

ทำอย่างไรถึงจะได้ไปอยู่ญี่ปุ่นอย่างถาวร

ท่ามกลางกระแสการเมือง คนที่อยาก #ย้ายประเทศ หรือไปทำงานต่างประเทศ รู้มั้ยว่ายากยังไง มีโอกาสทำได้จริงมั้ย บทความนี้มีคำตอบ
ความช่วยเหลือเร่งด่วนสำหรับผู้ลี้ภัย
ไม่ว่าคุณจะอยากไปอยู่ที่อื่น เพราะเหตุผลเรื่องการเมือง เรื่องประเทศไม่พัฒนา หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่มีปัญหาครับ อ่านบทความนี้แล้วน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ว่า บทความนี้เน้นพูดถึงการไปอยู่ญี่ปุ่นด้วยวีซ่าที่เกี่ยวข้องกับการ แต่งงาน ทำงาน เป็นหลักนะครับ ไม่ใช่วีซ่าผู้ลี้ภัย

ถ้าบังเอิญคุณเป็นคนที่ต้องการลี้ภัยทางการเมืองจริงๆ แต่หลงมาที่เพจนี้ เราช่วยอะไรไม่ได้นะ ลองติดต่อองค์กรอื่นๆเช่นสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เป็นต้น บทความนี้เหมาะกับคนที่โอเคกับการไปเรียนหรือทำงาน และไม่ได้ต้องการหนีจากเมืองไทยอย่างเร่งด่วนครับ
หากต้องการความช่วยเหลือลี้ภัยเร่งด่วน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการเมืองหรืออะไรก็ตาม โปรดติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครับ

jumbo jili

ถามตัวเองก่อนว่า ทำไมคุณถึงอยากหนีไปให้มันไกลๆ
ถามตัวเองก่อนว่าทำไมเราถึงอยากหนีจากเมืองไทย ไปให้ไกลเกินกว่าที่ฉันเคยไป

ตอนนี้เมืองไทยแม้จะมีปัญหาใหญ่ทางด้านการเมือง ที่ช่วงนี้หลายคนคงจะอีดอัดและไม่พอใจเอามากๆ แต่ก็ต้องยอมรับเรื่องนึงคือ ชีวิตเรายังไม่ได้แย่เหมือนผู้ลี้ภัยที่หนีตายจากสงครามหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ พูดง่ายๆคือคน 99% ที่อ่านบทความนี้ ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และคงจะไม่มีวันได้สถานะผู้ลี้ภัยนะครับ (และยังไม่นับว่า ญี่ปุ่นแทบไม่เปิดรับผู้ลี้ภัยทางการเมือง)

การจะไปอยู่ต่างประเทศไม่ว่าจะญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ควรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนก่อนเพราะว่าเป็นการลงทุนเงินและเวลาจำนวนมากที่อาจไม่ได้อะไรกลับคืนมาครับ ไม่ใช่ว่าการเมืองมันแย่ คนมันแย่ รถมันติด แล้วจบ ผมเข้าใจว่าประเทศไทยเรามีปัญหาหลายเรื่อง แต่เพื่อตัวของเราเอง เราก็ควรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนด้วยว่าจะไปทำอะไร เช่นไปเรียนหรือทำงานเก็บประสบการณ์ ไปถาวรหรือไปชั่วคราว เป็นต้น

สล็อต

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวของคุณเองครับ
ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น ย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นได้มั้ย
คำตอบสั้นๆ คือ ได้ ครับ

มีคนมากมายที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่น หรือทำงานที่ญี่ปุ่น โดยไม่รู้ภาษาหรือรู้เพียงเล็กน้อย โดยกฏหมายหรือเงื่อนไขของวีซ่า จริงๆ แล้ว ไม่มีการกีดกันคนโดยใช้เกณท์ทางภาษานะครับ คนที่มีวีซ่าที่ได้มาจากการทำงานหรือแต่งงานในญี่ปุ่น โดยที่ไม่มีผลสอบภาษาญี่ปุ่นระดับสูงๆ (ที่เรียกกันว่าผลสอบ N1 – N5) นั้นมีอยู่มากมาย
แต่ทั้งนี้

  • การรู้ภาษาญี่ปุ่น หรือการมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น จะช่วยให้คุณขอวีซ่าที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นกว่าการที่ไม่รู้หรือไม่มีแน่นอน
  • และการถูกปฏิเสธการออกวีซ่าโดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะผู้ขอวีซ่าไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น นั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน

สล็อตออนไลน์

และแน่นอนว่า การไปอยู่ญี่ปุ่นโดยไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น อาจมีผลกระทบกับคุณภาพชีวิตของคุณแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการโดนคู่แต่งงานเอาเปรียบ เจ้านายเอาเปรียบ บริษัทเอาเปรียบ หรือการใช้ชีวิตประจำวันที่ยุ่งยากกว่าอยู่ที่ไทย แต่ทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์ที่ต่างกันไปรายบุคคลครับ ถ้าไม่เจอ ถ้าเจอแล้วทนได้ ถ้าคิดว่ายังไงก็ดีกว่าอยู่ไทย ก็ไม่ต้องรู้ภาษาญี่ปุ่นก็ได้ครับ

ตัดสินใจแล้วว่าฉันจะย้ายประเทศ ไปอยู่ญี่ปุ่น “ถาวร” ไม่กลับมาอีกแล้ว
ถ้าตัดสินใจแล้วว่าอยากไปจริงๆก็ไม่มีปัญหา เข้าเรื่องกันดีกว่า การที่คนต่างชาติซักคนจะได้อยู่ญี่ปุ่นแบบ “ถาวร” มีสองวิธีหลักๆ

  1. คือการขอสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งยากมากและมีข้อดีข้อเสียหลายอย่างที่น่ารู้ก่อนจะตัดสินใจ แต่หลักๆผมไม่แนะนำครับ เพราะมีอีกวิธีที่ง่ายกว่า
  2. คือการขอวีซ่าพำนักถาวร หรือที่เรียกกันว่าเอจู (永住権) วิธีนี้เป็นที่นิยมมากกว่าด้วยเหตุผลหลายประการ และของ่ายกว่าอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าใครๆก็จะทำได้

ทำไมเราถึงไม่แนะนำให้เปลี่ยนสัญชาติเป็นคนญี่ปุ่น
ก่อนอื่น การเปลี่ยนสัญชาติเป็นญี่ปุ่นทำได้ยาก ไม่เป็นที่นิยม และไม่เหมาะสมเอามากๆ กับคนส่วนใหญ่ แต่ทำไมเราถึงมองว่าไม่เหมาะสม??

เนื่องจากญี่ปุ่นไม่อนุญาติให้ถือสองสัญชาติ คนที่จะเปลี่ยนสัญชาติเป็นญี่ปุ่นถาวรจึงต้องสละสัญชาติไทย กลายเป็นพลเมืองญี่ปุ่น ใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่น มีสิทธิ์เลือกตั้งในญี่ปุ่น ซึ่งบางเรื่องก็เหมือนจะเป็นเรื่องดีเช่นพาสปอร์ตญี่ปุ่นที่สะดวกมากๆสำหรับคนที่ไปต่างประเทศบ่อยเพราะสามารถเข้าได้หลายประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า

jumboslot

แต่การสละสัญชาติไทยไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน โดยเฉพาะคนไทยแท้ๆทั่วไปที่ไม่ได้มีครอบครัวอยู่ที่ญี่ปุ่น เพราะจะเสียสิทธิ์ทุกอย่างในฐานะประชาชนไทย หากคิดจะกลับไทยในอนาคตจะเป็นการมาในฐานะคนญี่ปุ่นคนหนึ่งที่แวะมาอยู่ที่ไทยระยะยาว ไม่ใช่คนไทย การดำเนินการทางกฏหมายต่างๆ เช่นการถือครองทรัพย์สิน บ้าน รถ จะลำบากกว่าคนไทย และก็ยังมีปัญหาเรื่องวีซ่าและเอกสารเพิ่มเติมขึ้นมา (ที่คนไทยปกติไม่ต้องเจอแต่คนต่างชาติในไทยต้องเจอ)

คนที่สละสัญชาติไทยเพื่อรับสัญชาติญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มั่นใจว่าสามารถอยู่ญี่ปุ่นได้ตลอดชีวิตโดยไม่เดือดร้อน เช่นวัยรุ่นที่เกิดมาเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น มีบ้านและครอบครัวอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เป็นต้น ถ้าคุณเป็นคนที่เหมาะกับการขอสัญชาติญี่ปุ่นมากกว่าการขอวีซ่าถาวรเชื่อว่าคงไม่จำเป็นต้องมาอ่านบทความนี้แต่แรก เพราะพ่อหรือแม่ชาวญี่ปุ่นของคุณคงกำลังทำเรื่องให้อยู่แล้ว
เพื่อประหยัดเวลาเราจึงขอข้ามไปเรื่องวีซ่าทำงานและการอัพเกรดเป็นวีซ่าถาวร ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนไทยแท้ๆที่อยากมาทำงานยาวๆที่ญี่ปุ่น

การขอวีซ่าทำงานในญี่ปุ่น
ถ้าหากคุณอยากได้วีซ่าพำนักถาวรก่อนอื่นต้องทำยังไงล่ะ?? คำตอบคือ ต้องเริ่มจากการได้วีซ่าประเภทอื่นก่อน เช่นวีซ่าทำงาน

slot

ในทางเทคนิค การหางานแปลว่าเราจะได้วีซ่าทำงาน ไม่ได้แปลว่าจะได้วีซ่าอยู่ถาวรทันที หลายคนอาจจะเข้าใจผิดแต่ว่านี่เป็นสองสิ่งที่ไม่เหมือนกัน วีซ่าทำงานเป็นวีซ่าระยะยาวแต่ก็ยังไม่ถาวร เหมือนกับสิ่งที่เรียกว่าเวิร์คเพอร์มิตในหลายๆประเทศ แต่การหางานก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีเพราะตราบใดที่เรามีงานทำมีสังกัดอยู่กับบริษัทในญี่ปุ่น เราก็จะสามารถต่อวีซ่าเพื่อทำงานให้บริษัทนั้นๆต่อไปได้เรื่อยๆโดยแทบไม่ต้องกังวลว่าจะต่อไม่ได้ หากได้งานกับบริษัทในญี่ปุ่นและได้รับวีซ่าครั้งหนึ่งแล้ว โอกาสต่อวีซ่าครั้งต่อไปไม่ได้นั้นแทบจะไม่มี หากยังอยู่บริษัทเดิม ไม่ได้ถูกไล่ออกหรือว่าเปลี่ยนงาน

สิ่งที่ต้องมีก็คือบริษัทที่ญี่ปุ่นที่จะรับเราเข้าทำงาน และเอกสารต่างๆที่ยืนยันได้ว่าเราจะมีงานทำจริงๆ เช่นสัญญาว่าจ้างเป็นต้น และอีกเรื่องก็คือตัวบริษัทเองก็ต้องมีความเหมาะสมเช่นเป็นบริษัทที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาติถูกต้องเป็นต้น

การทำวีซ่าในตัวของมันเองไม่ใช่เรื่องยาก มีขั้นตอนชัดเจน มีเอกสารที่ต้องใช้ชัดเจน หากถึงเวลาลงมือทำจริงๆ เอกสารหลายๆอย่างสามารถขอให้บริษัทที่จะจ้างเราช่วยออกให้ได้ แต่สิ่งที่ยากจริงๆคือการหางานในญี่ปุ่นมากกว่า ญี่ปุ่นเมืองน่าอยู่ มีหลายๆสิ่งที่น่าสนใจ

รู้จักวิธีหาคู่และนัดบอดในญี่ปุ่น กับ “โกคง”

สิ่งที่ทำให้รู้จักกับใครสักคนนั้น นอกจากการทำงานด้วยกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน หรือการเข้าชมรมรวมกลุ่มทำกิจกรรมกันแล้ว การไปนัดบอดแบบญี่ปุ่นหรือ “โกคง” ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้หญิงและผู้ชายได้ทำความรู้จักกันได้ง่ายขึ้นค่ะ

หาแฟนในญี่ปุ่นทำไมต้อง “โกคง”
“โกคง” (合コン) หรือภาษาไทยเราเรียกกันว่า “นัดบอด” คือกิจกรรมหาคู่แบบนึง เป็นการนัดพบปะสำหรับชายหญิง (ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน) เพื่อทำความรู้จักกัน หากถูกใจและมีความสนใจในกันและกัน ก็อาจมีการพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การคบหาดูใจและแต่งงานค่

jumbo jili

การหาคู่แบบนัดบอดของญี่ปุ่น
ผู้อ่านหลายๆท่านคงอาจเคยได้ยินคำนี้มาก่อน หรือเคยเห็นผ่านตาในการ์ตูนญี่ปุ่นที่นางเอกมักจะไปนัดบอดกับกลุ่มเพื่อนๆ แล้วไปเจอกลุ่มหนุ่มหล่อในงานปาร์ตี้ที่มีกลุ่มผู้หญิงกับผู้ชายจำนวนเท่าๆกัน นั่งกินดื่ม คุยทำความรู้จักกันค่ะ นั่นแหละคือ “โกคง” สิ่งที่เห็นในการ์ตูนนี้มีอยู่จริงๆนะเอ้อ!

การนัดบอดนั้นมีหลากหลายรูปแบบมากๆ และคนหลายๆช่วงอายุก็เข้าร่วมการนัดบอดด้วยค่ะ โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยทำงาน ที่ไม่ค่อยได้พบปะหรือมีโอกาสได้เจอกับคนนอกบริษัท แต่คราวนี้เราจะมาแนะนำนัดบอดแบบเป็นอีเว้นท์ ที่มีทีมงานเป็นคนจัด ว่าที่งานนัดบอดนั้นทำอะไรบ้างค่ะ!

วิธีใช้บริการหาคู่หรือนัดบอดในญี่ปุ่น
การเข้าร่วมอีเว้นท์หาคู่แบบนัดบอด อย่างแรกคือหากิจกรรมในเว็บไซท์ค่ะ แน่นอนว่าต้องรู้ภาษาญี่ปุ่น และต้องอยู่ญี่ปุ่นค่ะ มีหลากหลายเว็บให้เลือกเลยเช่น
แอบเข้าไปลองดูได้นะคะ

สล็อต

โดยทุกเว็บนั้นเราสามารถเลือกพื้นที่ที่เราอยู่ และเลือกวันที่เราสามารถไปได้เพื่อที่จะค้นหาอีเว้นท์ที่เราสามารถเข้าร่วมงานได้ค่ะ อีเว้นท์แต่ละอีเว้นท์จะมีเนื้อหากิจกรรม เมนูอาหารและเครื่องดื่มที่แตกต่างกันออกไป

ยกตัวอย่างเช่น อีเว้นท์นัดบอดสำหรับคนที่ชอบการ์ตูน อีเว้นท์นัดบอดเฉพาะคนที่มีเงินเดือนสูง อีเว้นท์นัดบอดสำหรับคนอายุช่วง20-29ปีเท่านั้น เป็นต้น โดยสามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้จากการคลิกเข้าไปดู

นอกจากนี้การไปนัดบอดแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนไป คนเดียวก็สามารถไปได้แบบไม่ต้องเขินเลยค่ะ ในอีเว้นท์ส่วนใหญ่จะต้องจ่ายค่าเข้าร่วม โดยราคาจะขึ้นอยู่กับสถานที่ที่จัดเเละเนื้อหาของอีเว้นท์นั้นๆ ผู้หญิงจะราคาถูกหน่อย ประมาณ 500-3000 เยน ส่วนผู้ชายจะแพงกว่า ราคา 5000-9000 เยนค่ะ เมื่อเราเลือกอีเว้นท์ที่ถูกใจเราได้แล้ว เราก็ทำการซื้อบัตรออนไลน์ สามารถเลือกจ่ายได้ทางบัตรเครดิตหรือจ่ายที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วแต่เว็บที่ใช้ แล้วพอถึงวันงานก็แค่ยื่นอีเมล์ยืนยันให้ทีมงานดู ก็เรียบร้อย สามารถเข้าร่วมงานได้สบายๆเลย

สล็อตออนไลน์

ตัวอย่างงานอีเว้นท์หาคู่ แบบคุยกัน 1-1
ตัวอย่างที่ๆไปมา เมื่อไปถึงที่จัดงานแล้วพนักงานก็จะให้หมายเลขของเรา พร้อมกระดาษมาหนึ่งใบค่ะ ทุกคนจะได้เหมือนกันหมด ในกระดาษนั้นจะมีให้กรอกชื่อ อายุ ความสนใจ งานอดิเรก ที่อยู่คร่าวๆว่าอยู่แถวไหน วันหยุดวันไหนบ้าง ทำงานอะไร สเปคเป็นแบบไหนเป็นต้น (แล้วแต่อีเว้นท์นะคะ บางทีก็ละเอียดถึงเงินเดือนเดือนละเท่าไหร่ก็มีค่ะ)

โดยจะจัดที่นั่งโดยให้ชายหญิงนั่งตรงข้ามกัน คุยกันแบบ1-1 (แต่บางทีก็มีคุยกันแบบหลายๆคน หรือคุยกับคนข้างๆบ้างค่ะแล้วแต่บทสนทนาในตอนนั้น ส่วนอีเว้นท์ที่มีคนเข้าร่วมมากถึง100คนอาจจะได้นั่งเป็นโต้ะรวม และอาจไม่ได้คุยครบทุกคนนะคะ) ในขณะที่คุยก็จะนำกระดาษข้อมูลของเราที่เขียนนั้นให้อีกฝ่ายดูไปด้วย การคุยทุกรอบจะมีการจับเวลา พอเมื่อจบเวลาก็จะมีการสลับคู่ไปเรื่อยๆค่ะ เพื่อให้เราได้คุยกับทุกคนในงาน (ผู้ชายจะวนไปเรื่อยๆ ส่วนผู้หญิงนั่งอยู่กับที่ค่ะ) หากถูกใจกันและอยากคุยต่อก็จะมีการขอแลกไลน์กันค่ะ ส่วนอาหารและเครื่องดื่มนั้นจัดเต็มมากๆ เครื่องดื่มสามารถดื่มได้ไม่อั้น (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มี อิอิ)

jumboslot

พอได้คุยกับทุกคนแล้วและหมดเวลางานเลี้ยง ก็จบงานนัดบอดค่ะ สำหรับงานนัดบอดที่เราได้ไปเข้าร่วมมานั้น มีกิจกรรมจับคู่ในตอนสุดท้ายด้วย โดยจะให้ทุกคนทั้งชายและหญิงเขียนหมายเลขของฝ่ายตรงข้ามที่ชอบ ถ้าหากว่าต่างฝ่ายต่างเลือกกันก็จะได้รางวัลพิเศษด้วย (ไม่ได้มีทุกงานนะคะ แล้วแต่ทีมงานว่ามีกิจกรรมนี้หรือไม่) โดยคนที่ถูกใจกันหรืออยากคุยกันเพิ่มเติมก็มักจะไปหาร้านอื่นทานข้าวหรือดื่มกันต่อรอบสองเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้นค่ะ

สรุปเรื่องการนัดบอดในญี่ป่น
การนัดบอดแบบ “โกคง” ที่ใช้บริการเว็บตัวอย่างเหล่านี้ ค่อนข้างปลอดภัยค่ะ เนื่องจากมีทีมงานคอยดูแล คนที่ไปคนเดียวก็ไม่ต้องเขินด้วย แถมสถานที่ๆจัดก็จะไม่ใช่ที่อโคจรหรือสถานที่อันตราย แต่ข้อเสีย

slot

คือทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ ถ้าหากไม่ค่อยได้ภาษาญี่ปุ่นก็จะลำบากในการทำความรู้จักฝ่ายตรงข้าม เพราะว่าจะต้องเจอกับคนหลากหลายรูปแบบหลากหลายอาชีพ ศัพท์ยากๆหรือความเร็วในการพูดแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย ใช่ว่าทุกคนจะพูดช้าๆให้เราฟังนะ

ส่วนข้อดี นอกจากจะได้ดื่มไม่อั้น (5555) ก็ยังได้รู้จักคนใหม่ๆและเรียนรู้เรื่องต่างๆเกี่ยวกับชีวิตคนญี่ปุ่นเยอะแยะเลยค่ะ ถึงแม้ว่ากับบางคนจะไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นคนรัก แต่ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้เนอะ ใคร ที่อยากมีแฟนหรือมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นก็ลองมางานนัดบอดกันสักครั้งนะคะ ^^ หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

มารยาทคนญี่ปุ่น เป็นเนื้อแท้หรือแค่ภายนอก

เรามักจะได้ยินว่าคนญี่ปุ่นนั้นตรงเวลา ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด ไม่แซงแถว พฤติกรรมเหล่านี้เป็นนิสัยที่แท้จริงของคนญี่ปุ่นจริงหรือ? (บทความเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่เขียนจากการสังเกตุการณ์ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรคอมเม้นต์กันได้ค่ะ)

เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม
เคยสงสัยมั้ยว่าคนประเทศแห่งหนึ่งจะมีมารยาทอันยอดเยี่ยมเพราะเนื้อในพวกเขาทุกคนคือคนดีแต่กำเนิด หรือว่ามีเหตุผลอื่น?
คนไทยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดที่มีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่เยอะอย่างกรุงเทพหรือชลบุรีคงจะเคยเห็นคนญี่ปุ่นเดินไปกินไป สูบบุหรี่ไม่เลือกที่ หรือใส่หูฟังเปิดเพลงดัง ๆ จนรบกวนคนรอบข้างได้ยินบ้าง ขากสเลดลงพื้นบ้าง นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าคนญี่ปุ่นบางส่วนไม่ได้มีมารยาทโดย ‘เนื้อแท้’ ที่มาจากภายใน แล้วมารยาทนี้มาจากไหนกันนะ

jumbo jili

ให้ลองจินตนาการคนไทยบางคนที่ไม่ได้ฝึกมารยาทอะไรเป็นพิเศษ แต่พอถึงเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็สามารถรอต่อคิวยาว ๆ ได้ ไม่เดินไปกินไปได้ ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราดตามทางได้เหมือนคนญี่ปุ่น ถ้านึกจะทำก็ทำได้เช่นกัน นั่นก็เพราะแต่ละสังคมมีกฏที่กำหนดให้คนในสังคมต้องทำตาม ใครที่ไม่ทำตามจะถูกมองเป็นแกะดำและถูกตำหนิติเตียนได้ เรียกว่าเป็นมารยาทที่เกิดจากกฏเกณท์ทางสังคมก็ได้ค่ะ
แล้วอะไรบ้างที่ทำให้คนญี่ปุ่นต้องมีมารยาท ไม่ว่าจะเป็นนิสัยที่แท้จริงจากภายในหรือไม่

ความเกรงใจต่อผู้อื่นในที่สาธารณะ เพราะประชากรหนาแน่นจึงต้องหาทางอยู่ร่วมกัน
ปี 2018 ประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 127 ล้านคน แต่เฉพาะในโตเกียว 23 เขต มีประชากร 9.27 ล้านคน จังหวัดโตเกียวมีพื้นที่รวม 2,188 ตารางกิโลเมตร ซึ่งยังไม่นับรวมคนที่อาศัยอยู่นอกโตเกียวแต่นั่งรถไฟหรือรถบัสไป-กลับเพื่อทำงานที่โตเกียว เพราะที่อยู่อาศัยในโตเกียวแพงมากถึงแม้จะเป็นการเช่าอยู่ ถึงจะได้ห้องราคาถูกแต่ห้องส่วนใหญ่ก็มีลักษณะคับแคบทำให้คนส่วนหนึ่งนิยมอาศัยอยู่รอบนอกโตเกียวอย่างโยโกฮาม่าหรือชิบะที่ตั้งของโตเกียวดิสนี่ย์แลนด์นั่นเอง แถมรถไฟก็รวดเร็วตรงเวลาทำให้คนนิยมออกไปอยู่นอกโตเกียวเป็นจำนวนมาก

สล็อต

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกวันมีคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเดินทางเข้ามายังโตเกียวเพื่อทำงานและท่องเที่ยว ทุกเช้าจะเห็นรถไฟอันเบียดเสียดอัดกันเป็นปลากระป๋องทุกครั้งไป ทำให้มีความเคร่งครัดมารยาททางสังคม หรือที่เรียกง่ายๆว่า ‘ความเกรงใจ’ เช่น ไม่ควรเดินเข้าขบวนรถไฟก่อนคนข้างในจะเดินออกมา ไม่ควรใช้โทรศัพท์บนรถไฟในชั่วโมงเร่งด่วน การต่อแถว ยืนชิดซ้ายเดินชิดขวา การไม่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งการปิดฝาโถส้วมในสถานีรถไฟหลังใช้เสร็จ
จะเห็นว่าสิ่งที่กล่าวมาไม่ได้เป็นสิ่งที่โดน ‘ห้าม’ หรือถูกบังคับให้ทำทั้งหมด แต่เป็นการสร้างความลื่นไลของกลไกในสังคมที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีไม่มีสะดุด

แล้วถ้าไม่ทำตามมารยาททางสังคมล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น? บอกได้เลยว่าคุณจะโดนมองบน มองด้วยหางตา มองด้วยสายตาเสียดแทงบาดลึกไปถึงหัวใจ เพราะถึงแม้คนโตเกียวจะไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นที่ไม่รู้จัก แต่ก็มองคนที่ไม่ทำตามแนวทางที่ควรทำว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ไม่มีความศิวิไลซ์ ทำให้คนญี่ปุ่นทั้งหลายดูมีวินัย เกรงใจผู้อื่น
แต่สำนึกทุกอย่างจะมลายหายไปหลังเที่ยงคืน โดยเฉพาะคืนวันศุกร์หรือวันเสาร์ ไม่เชื่อลองไปแหล่งที่เต็มไปด้วยร้านเหล้าอิซากายะดูสิ สมบัติผู้ดีแทบจะหายไปหมดสิ้น

สล็อตออนไลน์

กฏหมายที่ดี บังคับใช้จริงจัง และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีคุณภาพ
จากข้อข้างต้นเราพูดถึง ‘มารยาททางสังคม’
ส่วนข้อนี้เป็น ‘ข้อกฎหมายที่ต้องทำ’

กฏหมายคือกฏหมาย ถ้าไม่ทำตามจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อสังคมและสามารถสร้างความเสียหายวงกว้างได้ รัฐถึงต้องคอยควบคุมกำกับให้สังคมอยู่ในสภาพเรียบร้อย อย่างกฎหมายเกี่ยวกับการขับรถ การดื่มไม่ขับ การหยุดให้คนข้าม หรือแม้กระทั่งการสูบบุหรี่ต้องสูบในที่ ๆ สามารถสูบได้เท่านั้น แท็กซี่ที่ขับรถชนท้ายรถคันอื่น ถึงแม้จะไม่มีผู้โดยสารอยู่ในรถ แต่ก็จะถูกพักใบอนุญาตทำงาน 30 วัน รวมไปถึงการลักเล็กขโมยน้อยที่มีค่าปรับที่สูงมากและมีโอกาสติดคุกได้ง่ายๆ อีก

ดังนั้นคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายเพราะโทษปรับที่รุนแรง เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างแข็งขัน เพราะอาชีพตำรวจถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นการทำอะไรที่ผิดศีลธรรมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกิดอาชญากรรมน้อยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

jumboslot

แน่นอนญี่ปุ่นก็มีคนไม่ดี มีคนที่อยากทำอะไรมักง่ายอยู่บ้าง แต่ความที่อาจจะสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย แถมคำนวณดูแล้วมันไม่คุ้ม เลยต้องจำใจทำตามกฏระเบียบไป (พูดง่าย ๆ คือลึก ๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนดีมาก แต่การทำผิดกฏหมายมันไม่คุ้มก็แค่นั้น) จริง ๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการมีกฏหมายนะ

บางทีก็คือการทำเพื่อหน้าตาของตนเอง
เมื่อเราเดินท่องเที่ยวไปตามตรอกซอกซอยที่เป็นโซนที่อยู่อาศัย เราจะเห็นว่าบ้านแต่ละหลังดูสะอาดมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการจัดสวนที่สวยงาม ไม่มีขยะหรือใบไม้มากมายอยู่บริเวณหน้าบ้าน แต่รู้หรือไม่ข้างนอกบ้านนั้นคือมายา! ในบ้านสิของจริง!!!

ขอเล่าประสบการณ์ตรงที่ได้เจอด้วยตนเอง (゚▽゚) เมื่อได้เจอกับสามีครั้งแรกดูเป็นผู้ชายญี่ปุ่นที่เรียบร้อยและเนี้ยบมาก ดูเป็นผู้ชายสะอาดสะอ้าน จนกระทั่งได้แต่งงานและย้ายเข้าบ้านเท่านั้นแหละคุณขา จะเป็นลม สามีเคยใช้ชีวิตกับแม่สองคนในบ้านหลังนี้ ก่อนที่คุณแม่จะย้ายไปอยู่บ้านพักคนชรา (บ้านพักคนชราที่นี่ไม่ใช่ถูก ๆ นะคะ ตกเดือนละ 60,000 – 90,000 บาท) จนเสียชีวิต ภายหลังสามีก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว บ้านของสามีเป็นบ้านขนาด 3 ชั้น ห้องนอนทั้งหมด 4 ห้อง ตอนที่มาถึงสามีใช้ห้องนอนเพียงห้องเดียว ที่เหลือเป็นห้องกองขยะ ไม่ใช่สิ! ขอเรียกว่า “ห้องเก็บของ” สถานภาพของตนเองในขณะนั้นเปลี่ยนจากเมียมาเป็นแจ๋วในทันที ใช้เวลาทั้งหมดครึ่งปีในการเคลียร์ขยะและจัดข้าวของต่าง ๆ ให้เป็นที่เป็นทาง อยากจะเล่าให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าคนญี่ปุ่นบางคนในและนอกไม่เหมือนกัน ที่ดูเนี้ยบสะอาดนั้น บางทีก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่เค้ารักษาไว้ให้คนนอกเห็น

slot

แยกระหว่างคนในและคนนอก
คนญี่ปุ่นอย่างที่เรารู้คือเป็นชนชาติที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ทำให้เกิดการแบ่งแยก ‘คนใน – คนนอก’ (อุจิ-โซโตะ) ซึ่งคน ๆ เดียวกันสามารถเป็นคนใน – คนนอกได้ตามแต่ละสถานการณ์ ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงส่วนตัวนะคะ

มีเพื่อนเป็นคุณแม่ชาวญี่ปุ่นนามสมมุติ A ซัง โดยคุณ A ซังอยู่ในคลาสคุณแม่มือใหม่เดียวกัน กรุ๊ปเดียวกัน (ในคลาสจะแบ่งกรุ๊ปย่อยเพื่อให้คุณแม่ ๆ ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น) รู้จักกันและพูดคุยถูกคอ A ซังจึงชวนพาลูกไปเล่นและดื่มชากาแฟที่บ้าน แต่เมื่อมาที่บ้านในบ้านของ A ซังก็มีคุณแม่อยู่ด้วย เลยได้รับการต้อนรับแบบคนนอก (แขก) A ซังและคุณแม่ของ A ซังเวลาคุยกันจะเป็นคนใน เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนเราเป็นคนนอก จะถูกปฏิบัติอีกแบบ ทำให้เข้าไปบ้านครั้งแรกมีความเก้ๆ กังๆ หน่อย

คนในคนนอกไม่เพียงใช้แต่เฉพาะคนญี่ปุ่นด้วยกันเท่านั้น ยังใช้ในกรณีที่เป็นชาวต่างชาติแยกกับชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ทำให้บางครั้งการปฏิบัติต่อชาวต่างชาติกับชาวญี่ปุ่นด้วยกันแตกต่างกัน การปฏิบัติเช่นการใช้ระดับความสุภาพของภาษา การแสดงกริยาท่าทางเวลามีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นเคร่งครัดในการปฏิบัติซึ่งต่างจากคนไทยอย่างชัดเจนไม่ว่าใครที่ไหนก็สามารถเรียกเป็นพี่ น้อง ป้า น้า อา ลุง เสมือนญาติเราได้หมด เจอครั้งแรกก็ถามชื่อเล่นและเรียกได้ตั้งแต่ยังไม่รู้จักอะไรกันเลย ถ้าไปทำแบบนี้ที่ญี่ปุ่นจะโดนมองแรงเอานะ

ถ้าให้เลือก จะเลือกแบบไหนกันคะ? อยู่กันอย่างสบาย ๆ มักง่ายทำอะไรตามใจ หรือจะเคร่งเครียดต้องทำตามกฎและหลักปฏิบัติในสังคมจนอ่อนล้า เป็นไปได้ไหมที่เราจะสามารถสร้างความสมดุลระหว่างความสุขและรักษากฏข้อปฏิบัติ ส่วนตัวคิดว่าการรักษามารยาททางสังคมเป็นการให้เกียรติทั้งตนเองและผู้อื่นที่อยู่รอบข้างค่ะ มาช่วยกันทำสังคมให้น่าอยู่โดยเริ่มที่ตัวเรากันนะคะ คนญี่ปุ๋นจะทำตามวัตนธธรรมของเขาแบบเค่งคัดเสมอ

รู้จักโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม WWOOF JAPAN

เราเป็นนักเรียนไทยที่มาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่เกียวโต แต่พอเข้าหน้าร้อน ทางโรงเรียนก็มีวันหยุดให้นานถึง 1 เดือน ตอนนั้นเรายังไม่ได้ทำงานพิเศษเลยไม่รู้จะไปไหน ที่บ้านก็ยังไม่ให้กลับไทยเพราะเพิ่งมาได้แปปเดียว แต่ถ้าจะไปเที่ยวอย่างเดียวก็รู้สึกว่าอาจจะลืมภาษาได้ แถมยังต้องใช้เงินค่าเดินทางอีกเยอะ เราเลยตัดสินใจงั้นไปทำ WWOOF แล้วกัน

หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่า WWOOF คืออะไร เพราะขนาดคนญี่ปุ่นเองบางคนก็ยังไม่ค่อยรู้จักกับโครงการนี้เท่าไหร่

jumbo jili

ครั้งแรกที่รู้จักกับคำนี้ มาจากการอ่านหนังสืออยู่ญี่ปุ่นที่บอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มออฟฟิศชาวไทยที่เข้าร่วมโครงการ WWOOF คาบเกี่ยว 2 ฤดูกาล 4 ฟาร์ม 4 ภูมิภาค แบบอยู่ดี กินฟรี ไม่เสียตังค์ จะเรียกว่าเป็นการอยู่กับคนญี่ปุ่นแบบโฮมสเตย์ก็ไม่เชิง เพราะโครงการนี้เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และสนับสนุนสวนผัก ผลไม้ หรือฟาร์มออร์แกนิคในญี่ปุ่น โดยจะมีเจ้าของฟาร์มเป็นคนรับสมัครให้ วูฟเฟอร์ (ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ) เข้าไปทำงานตามที่โฮสต์บอกเพื่อแลกกับอาหารและที่อยู่ โครงการนี้มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคที่ญี่ปุ่นและเปิดรับตลอดทั้งปีเลย โฮสต์บางคนจะมีพาไปเที่ยว หรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพิ่มเติมให้ด้วย ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ลองมาดูกันเลย

ก่อนอื่น การสมัครสมาชิกสามารถเข้าไปได้ที่นี่ แล้วเลือก Become a WWOOFer ก็จะเจอหน้าให้กรอกข้อมูลเยอะประมาณนึง อย่าเพิ่งถอดใจขี้เกียจกรอกกันนะ แล้วจะพลาดประสบการณ์ใหม่ๆ จริงๆที่ให้กรอกข้อมูลเยอะเพราะทางโครงการเขาอยากให้โฮสต์สามารถรู้ข้อมูลเราได้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจะได้เลือกโฮสต์และรับวูฟเฟอร์ที่ต้องการจริงๆ จะทำให้เราเห็นข้อมูลต่างๆของโฮสต์มากขึ้นกว่าก่อนสมัคร ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นว่าเราไม่ชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่รู้มาก่อนพอไปอยู่จริงก็จะเกิดความลำบากใจขึ้น ดังนั้นกรอกข้อมูลตามความจริงไปเลยค่า

สล็อต

การสมัครจะทำให้เราสามารถส่งข้อความติดต่อคุยกับโฮสต์ได้ค่ะ พอกรอกเสร็จด้านล่างจะมีให้เลือกว่าเราจะเป็นสมาชิก WWOOF แบบไหน มีหลายเรทหลายแบบให้เลือกนะคะ ว่าจะไปคนเดียวหรือมีเด็กไปด้วย และสามารถเลือกได้ว่าเราจะให้การเริ่มเป็นวูฟเริ่มเลย หรือเริ่มหลังจากสมัคร 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน / 2 เดือน / 3 เดือน/ 6 เดือน เพื่อให้อายุสมาชิกอยู่ได้นานขึ้นค่ะ ( อายุสมาชิกวูฟ 1 ปี เริ่มนับตามวันที่เราเลือกว่าจะให้เริ่มภายในกี่อาทิตย์ค่ะ ไม่ได้เริ่มนับวันที่เราสมัคร ) อย่างเราเริ่มสมัครกลางเดือน 6 แต่เราปิดเทอมและสามารถเริ่มทำวูฟได้ช่วงวันที่ 20 ก.ค. – 16 ส.ค. เราเลยเลือกแบบที่ 1 Adult start in 1 month ราคา 5,500 เยน โดยการสมัคร 1 ครั้งจะไปวูฟกี่ที่ก็ได้ค่ะ ภายในระยะเวลา 1 ปี

ถ้าใครที่ยังไม่แน่ใจว่าไปดีมั้ย หรืออยากลองเซอร์เวย์ข้อมูลอย่างเดียวก่อนเพราะไม่อยากเสียค่าสมาชิก ก็สามารถดูข้อมูลเบื้องต้นได้เช่นกัน เลือกตรง Host Preview แล้วเลือกตามเมืองที่ต้องการไปได้เลย ในเว็บไซด์จะบอกละเอียดพอสมควรถึงขนาดว่าบ้านโฮสต์ มีผู้หญิง ผู้ชายกี่คน มีเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง สูบบุหรี่ กินเหล้ามั้ย โฮสต์พูดภาษาอะไรได้บ้าง วูฟเฟอร์จำเป็นต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้มั้ย ลักษณะงานที่ทำเป็นยังไง ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเข้าร่วมโครงการทีเดียวเลยแหละ

สล็อตออนไลน์

หลังจากเลือกโฮสต์แล้วก็ให้ส่งข้อความถึงโฮสต์ได้เลย แจ้งไปว่าเราจะไปเมื่อไหร่ นัดแนะเวลา สถานที่นัดหมายที่ให้โฮสต์มารับได้ที่ช่อง Messege โฮสต์บางคนอาจจะตอบช้าหน่อยนะ ไม่ต้องตกใจไป อ่อ! อย่าลืมถามโฮสต์เรื่องอุปกรณ์ที่เราต้องเตรียมไปพิเศษ เช่น รองเท้าบูท เสื้อแขนยาว ถุงมือ ฯลฯ จะได้ไม่ต้องลำบากวิ่งหาซื้อหน้างาน และที่สำคัญอีกอย่างคืออย่าลืมปริ้นเอกสารยืนยันการเป็น WWOOFER PERMIT ของเราได้วยนะคะ เพราะโฮสต์จะขอดูเวลาเจอกัน ป้องกันความผิดพลาดและการแอบแฝงค่ะ แต่ก็มีโฮสต์บางคนไม่ขอดูเหมือนกันนะ ยังไงก็ติดไปเผื่อน่าจะดีกว่า

ลักษณะงานส่วนใหญ่ของการเป็น WWOOF จะเป็นการทำฟาร์มผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บผลผลิต ทำแยม ทำคาเฟ่ ร้านอาหาร ทำขนมปังหรืองาน Craft อื่นๆ แตกต่างกันไป เราเลือกไปที่ฟุกุโอกะ เพราะเป็นเมืองที่เคยอ่านรีวิวแล้วรู้สึกอยากไปเที่ยวสักครั้ง จะได้อาศัยโอกาสไปทำวูฟครั้งนี้เที่ยวฟุกุโอกะไปเลยในตัว โดยวูฟที่เลือกมีฟาร์มองุ่น สตอเบอรี่

jumboslot

สาลี่ ลูกพีช และร้านขายของในบริเวณฟาร์ม ซึ่งเป็นโฮสต์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย เพราะเรายังรู้สึกว่าภาษาญี่ปุ่นเรายังไม่ค่อยแข็งแรง กลัวไปแล้วคุยกับเขาไม่ได้ เลยยังไม่เลือกโฮสต์ที่พูดได้แต่ภาษาญี่ปุ่น และพอดูในช่อง Feedback ก็พบว่าโฮสต์นี้ชาวต่างชาติไปมาเยอะมากและรีวิวดีมาก เราเลยคิดว่าต้องรอดแน่นอน

หลังจากเราตกลงกับโฮสต์แล้วว่าจะทำเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ควรเตรียมของฝากติดไม้ติดมือไปตามธรรมเนียมญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเป็นของเกี่ยวกับประเทศตัวเองจะยิ่งทำให้เวลาคุยกับโฮสต์จะสนุกมากขึ้น น่าสนใจมากขึ้น อย่างเช่น เครื่องแกงไทยๆ เหล้าหรือเบียร์ไทย (คนญี่ปุ่นชอบดื่มเบียร์ เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นของขวัญที่คนญี่ปุ่นชอบ) ที่สำคัญที่สุดสำหรับสาวๆอย่างเรานั้น ครีมกันแดด!!!! เพราะการไปทำวูฟหน้าร้อนคงไม่ค่อยจะดีกับผิวของสาวๆอย่างเราเท่าไหร่ ส่วนอุปกรณ์กันแดดอื่นๆอย่างหมวก ปลอกแขน ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย

slot

ก่อนวันเดินทาง 2-3 วันอากาศเริ่มร้อนขึ้นมาก เราคิดเลยว่าที่ฟุกุโอกะ บ้านโฮสต์ต้องร้อนกว่านี้แน่นอน อยากถอดใจไม่ไปแล้ว ไม่อยากลำบาก แต่สุดท้ายความคิดด้านดีก็กลับมาชนะว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนอกจากได้เที่ยวและใช้ชีวิตอยู่กับคนญี่ปุ่นเต็มๆ 2 อาทิตย์ มันจะช่วยให้เราไม่ลืมภาษาญี่ปุ่นตลอดช่วงปิดเทอม ทำให้มีโอกาสได้ฝึกพูด ฝึกฟังมากขึ้น ได้เปิดประสบการณ์ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้รู้วัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นจริงๆว่าเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน ได้รู้จักอีกครอบครัวนึง และอาจจะได้รู้จักวูฟชาติอื่นที่มาทำพร้อมกัน ซึ่งทำให้เราไม่เหงาตลอดการปิดเทอม แถมยังประหยัดค่าอาหารค่าที่พักอีก โอกาสดีๆแบบนี้ต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ คนญี่ปุ่นชอบท่องเที่ยวและถือเป็นวัตธนธรรมกันสืบมา คนญี่ปุ่นชอบท่องเที่ยวและถือเป็นวัตธนธรรมกันสืบมา

5 สิ่งในญี่ปุ่นที่ประทับใจไม่มีวันลืม

หลายครั้งหลายหนกับการเดินทางมาทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ยังคงเป็นการเดินทางแบบไปๆมาๆ ไม่เกิน 1 อาทิตย์ทุกๆครั้ง เรื่องที่หนักใจจนทำให้อยากกลับบ้านมากๆ ก็คือ ชีวิตที่เงียบเหงาความมีระเบียบเกินของคนในประเทศ ที่เคร่งครัดไปทุกเรื่อง ทุกคนรักษากฎ แต่ทุกอย่างโดยรอบดูน่าอึดอัดแต่จริงๆแล้วมันกลับตรงกันข้าม เพราะนี่คือการคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น

  1. ย่านที่อยู่อาศัย เงียบถึงเงียบที่สุด
    น่าแปลกใจ แต่ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ ว่าประเทศญี่ปุ่นนั้น แยกโซนเมือง และโซนที่อยู่อาศัยอย่างชัดเจนดังนั้น เมื่อเราเข้าเขตที่อยู่อาศัย ในเขตนั้นจะเงียบมากๆ ไม่มีมลพิษทางเสียงใดๆ

jumbo jili

ทุกบ้าน มีความเกรงอกเกรงใจ จะพูด หรือ จะเปิดเพลง เปิดทีวี ใดๆ ก็จะเบาเสียงมาก นี่แหละหนึ่งในการคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่นที่ปลูกฝังกันมาในคนญี่ปุ่น เพราะพื้นที่ที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ จะเป็นอพาทเมนต์ ทุกห้องอยู่ติดๆกันหมด (อย่างน้อยก็ในแถวเมืองใหญ่ อย่างชินจูกุที่ฉันอยู่)มีบ้านปลูกขึ้นเรียงกันไป รั้วไม่สูงใหญ่เหมือนหมู่บ้านในเมืองไทยนัก
ทุกบ้านเงียบสงัดมาก จนเราคิดว่า เอ๊ะ ไม่มีคนอยู่หรือเปล่า แต่จริงๆมีคนอยู่ในบ้านนะ

อย่างในเขตชินจูกุนั้น โซนเมือง โซนชอปปิ้ง โซนใกล้สถานี จะมีรถไฟ เสียงรถไฟวิ่ง เสียงรถยนต์ เสียงจากป้ายโฆษณาดิจิตอล เสียงคลับ บาร์ จากย่านคาบุกิโจ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เมื่อเข้าเขตที่อยู่อาศัย ทุกอย่างเงียบสงัด อย่างกับไม่ใช่เขตเดียวกัน

จะว่าไป เราก็เคยมีประสบการณ์ เอะอะเสียงดังตอนอยู่ที่บ้าน เฟซไทม์กับเพื่อนตอนเที่ยงคืน ตำรวจมาเคาะประตูห้องจ้าา บอกว่ามีคนแจ้งไป.. โดนขอพาสปอร์ตและตักเตือนกันยกใหญ่ ดังนั้น ถ้าใครไปเที่ยวญี่ปุ่น การรักษาสมดุลเสียงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะคะ ^^

สล็อต

  1. การรักษาเวลาและการเผื่อเวลา
    ที่ว่าให้รักษาเวลา ก็ว่ายากแล้วนะ ยังจะให้เผื่อเวลาอีกหรอแน่นอนว่า การเผื่อเวลาที่ญี่ปุ่นเป็นเรื่องจำเป็น หากใครยังไม่ชินเส้นทาง การเผื่อเวลา ในกรณีขึ้นสายรถไฟผิด
    หรือรถไฟเลทมาช้า เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศนี้

นอกจากนั้น การเผื่อเวลา ยังช่วยเราในเวลาที่เราเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ไปถึงแล้ว คิวยาวมาก ต่อคิวซื้อตั๋วรถบัส ตั๋วหนัง ตั๋วเข้าสวนสนุกหรือหากจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ ก็ต้องต่อคิวซึ่งถ้าไม่เผื่อเวลาไปนั้น อาจจะทำให้ตกรถ หรือไม่ทันรอบที่ตัวเองต้องการได้ อาจจะทำให้เสียเวลา ต้องรอรอบถัดไป ซึ่งบางที่ อาจเป็นชั่วโมงก็มี และที่ญี่ปุ่น การต่อคิวเป็นเรื่องปกติมาก เมื่อทุกคนใช้เวลาอดทนต่อคิวแต่เมื่อถึงคิวของแต่ละคน ทุกคนก็จะใช้เวลาของเขาอย่างเต็มที่ คนข้างหลังจะไม่ค่อยมีการมาเร่ง หรือทำหน้าบูด นี่ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์ของการปลูกฝังการคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น
การรอคิวอาจยาวนานขึ้น แล้วแต่ว่าคุณกำลังรอใช้บริการอะไรอยู่

สล็อตออนไลน์

  1. พื้นที่หรือสถานที่สาธารณะสำหรับผู้พิการ
    ในหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว ย่อมมีห้องน้ำสำหรับเด็กและผู้พิการต่างๆ การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ทุพพลภาพหรือคนชราต้องมีเป็นเรื่องปกติ ทั้งในบ้านเราและในญี่ปุ่นก็เช่นกัน แน่นอนว่านี่ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์ของการที่ทุกคนรวมถึงผู้ประกอบการคำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น เพราะคนพิการ คนชรา ก็อยากออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นเหมือนกันนะ

ในประเทศญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่จะเว้นที่นั่งสำหรับคนพิการไว้เสมอ แม้ว่าจะไม่มีคนพิการ หรือคนชรา เข้ามานั่งบ่อยครั้งที่จะเห็นที่นั่งบริเวณนั้นว่างไว้ ทั้งๆที่มีคนยืนอยู่เต็ม
หากแต่คนแน่นรถจนเบียดจริงๆ ก็อาจจะมีคนนั่ง เพราะการนั่งบริเวณนั้นจะทำให้มีพื้นที่ให้คนเข้ามาในรถไฟได้มากขึ้น (นี่ก็น่าจะมาจากการคิดถึงผู้อื่นอีกนั่นแหละ)
ตามห้องน้ำสำหรับคนพิการก็เช่นกันแม้คนต่อคิวเข้าห้องน้ำธรรมดาจะยาวแค่ไหน แต่ก็ไร้วี่แววคนที่เข้าไปใช้ห้องน้ำคนพิการ ทุกคนจะเข้าใจหน้าที่ของตัวเองและสิทธิของผู้อื่นมักจะมาเป็นอันดับต้นๆเสมอ

jumboslot

  1. ระบบการขนส่งมวลชน
    เราจะปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ระบบการขนส่งของประเทศญี่ปุ่นนั้น คือความอัจฉริยะอย่างหนึ่ง ที่ถูกออกแบบมาอย่างดีเยี่ยมจริงๆ
    นอกจากสายรถไฟที่มีผังกว้างขวาง แผ่ออกไปทุกมุมเมืองรถไฟด่วนรางพิเศษ หรือที่เรียกว่า ชินคันเซ็น วิ่งระหว่างจังหวัดและระบบการวิ่งรถที่ตรงต่อเวลาแล้วนั้น ญี่ปุ่นยังคำนึงถึงการอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนในช่วงเวลาเร่งด่วน การเพิ่มขบวนรถด่วน รถเร็วที่ไม่จอดสถานีเล็กๆ ทำให้คนที่ไปที่ไกลๆ เดินทางถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ประหยัดเวลาได้มากขึ้น
    แม้ว่าการใช้บริการรถไฟจะแน่นมากจริงๆก็ตาม แต่การพยายามอำนวยความสะดวกเหล่านี้ทำให้ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่อยู่สบาย สะดวกเป็นประเทศที่คิดมาแล้วก่อนสร้าง เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง
  2. หลากหลายสินค้าให้ช้อปปิ้งออนไลน์
    การช้อปปิ้งออนไลน์เป็นเรื่องน่าสนุกของการอยู่ที่ญี่ปุ่นขอแค่เพียงคุณรู้ไซส์ของเสื้อผ้าที่คุณจะใส่ ทุกอย่างสามารถสั่งได้ทางอินเตอร์เนต ทั้งรองเท้า กระเป๋า ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของตกแต่งบ้านและในบางครั้งเราก็จะได้ในราคาที่ดีกว่าเดินไปซื้อที่ร้านอีกด้วย

slot

ทุกอย่างสะดวก ไปจนถึงการจัดส่งพัสดุที่รวดเร็วและปลอดภัยมีทั้งแบบเลือกวันเวลาได้ หรือไม่เลือกก็ได้ เวลาที่เราไม่อยู่บ้าน ก็สามารถโทรเข้าระบบอัตโนมัติ นัดเวลามาส่งได้อีก

นอกจากนั้น ในเว็บไซต์บางรายการ ยังสามารถสะสมแต้มได้แล้วใช้เป็นส่วนลดในการซื้อในครั้งต่อไปได้อีกต่างหาก เช่นเว็บช้อปออนไลน์อย่าง Rakuten, Amazon เป็นต้น
การจ่ายเงิน ก็สะดวกเช่นกัน มีทั้งแบบจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้เลย จ่ายร้านสะดวกซื้อ หรือจ่ายตอนของมาส่งก็มี นับว่าสะดวกสบายมากจริงๆ

ความจริงที่เป็นnเป็นเรื่องราวดีๆ จากความรู้สึกแรกที่เคยคิดว่าความเคร่งครัดในกฎของสังคมเป็นเรื่องที่เครียดเกินไปและทำให้เราไม่ชอบญี่ปุ่นเลย

วันนี้ จึงได้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้คือเรื่องราวดีๆ ที่น่านำมาปรับใช้กับตัวเราบ้างนะและเมื่อใดก็ตามที่พูดถึงประเทศญี่ปุ่นนี่จะเป็นเรื่องราวที่ประทับใจ และไม่มีวันลืมได้เลยจริงๆ
คนญี่ปุ่นชอบท่องเที่ยวและถือเป็นวัตธนธรรมกันสืบมา

เปรียบเทียบการทำงาน บ.ไทย กับ บ.ญี่ปุ่นในไทย

บริษัทไทย VS บริษัทญี่ปุ่น ​แบบไหนดีกว่ากันนะ? เชื่อว่าหลายๆท่านที่เรียนจบทางด้านภาษาญี่ปุ่นหรือต้องการทำงาน​บริษัท​ญี่ปุ่นต้องมีลังเลกันบ้าง บทความนี้อาจช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ ต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าเนื้อหาการเปรียบเทียบตามที่จะกล่าวต่อไปนี้​ หลายอย่างใช้ข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้ว แต่หลายอย่างโดยเฉพาะสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (เช่นวัฒนธรรมองค์กร) ก็จะเน้นเขียนตามประสบการณ์​ของนักเขียนโดยตรงเป็นหลัก (รวมถึงบุคคล​ใกล้ตัวของเราด้วย)​ หากประสบการณ์​ที่คุณเจอไม่ตรงกับเราอย่างไรต้องขออภัยมา​ ณ​ ที่นี้ด้วยนะคะ
วัฒนธรรมองค์กร
บริษัทไทย = ความแตกต่างทางสังคมสูงมาก
วัฒนธรรมองค์กรไทยจะมีสิ่งหนึ่งค่ะที่ต่างกับญี่ปุ่นมาก คือความยืดหยุ่นยังไงก็ได้ ประชุม 9 โมงแต่กว่าจะเข้าเนื้อหาจริงอาจจะ 9 โมงครึ่งเพื่อรอเพื่อนรวมงานเป็นต้น ตำแหน่งการรับผิดชอบงานของไทยจะชัดเจน ตรง และไม่ซับซ้อน แต่มักไม่แยกเรื่องงานกับส่วนตัวออกจากกันเสียเท่าไร ซึ่งนี้ก็นับว่าเป็นข้อเสียก็ได้นะคะที่อาจส่งผลกับการทำงาน ส่วนวัฒธรรมปลีกย่อยอื่นๆขอแยกบริษัทไทยเป็น2ประเภทเท่าที่ได้รับประสบการณ์มาแล้วกันนะคะ

jumbo jili

  1. บริษัทไทยแบบเช้าชามเย็นชาม
    อาจจะจั่วหัวข้อแรงไปสักนิด แต่นี่คือเรื่องจริงค่ะที่ไม่ได้มีแค่ในระบบข้าราชการ แต่มีในเอกชนบ้างบางแห่งโดยเฉพาะบริษัทเล็กๆที่มักเจอ คนเดิมที่อยู่อาจไม่ได้ทำงานดีขนาดนั้นแต่เพียงทำตามหน้าที่ ขาดแรงกระตุ้นในการทำงานทำให้ไม่มีความกระตือรือร้น แต่อยู่ได้เพราะเงินเดือนมั่นคงแล้วเขาเองไม่ได้ทำผิดร้ายแรงอะไรที่ทำให้บริษัทพิจารณาไล่ออก คนขยันก็ทำงานแทบตายโดนเอาเปรียบจากกลุ่มนี้ เชื่อว่าแบบนี้หลายท่านน่าจะเคยพบเจอกันมาเองบ้าง
  2. บริษัทไทยแบบศรีทนได้ ทนแบกรับทุกอย่าง
    ในการทำงานบริษัทไทยบางแห่งที่เน้นใช้คนกันเต็มที่ หน้าที่ส่วนนั้นไม่หนักกายในการใช้แรงงาน ก็หนักสมองในการคิดบริหารงาน ซึ่งบริษัทแบบนี้มักมีเรื่องของโบนัสหรือคอมมิชชั่นเป็นตัวกระตุ้นพนักงานให้กัดฟันสู้เพื่อเงินเดือนค่ะ แล้วเพราะเหตุนี้นี่แหละคนที่ทำงานองค์กรไทยที่มีลักษณะแบบนี้มักไม่ได้เหนื่อยงานแค่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเหนื่อยกับคนหรือสังคมของบริษัทที่แก่งแย่งชิงดีกันด้วย ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้คนไทยเป็นทั้งเครียดสะสมและโรคซึมเศร้ามามากแล้วค่ะ

บริษัทญี่ปุ่น = บริษัทคือครอบครัว
สำหรับบริษัทญี่ปุ่นแล้วการดูแลของเขาจะไม่ได้มองแค่ว่าคุณคือพนักงานอย่างเดียว แต่คุณคือหนึ่งในองค์กรที่เหมือนบ้านหลังที่2ด้วย แต่ต้องบอกก่อนนะคะว่าครอบครัวแบบญี่ปุ่นเนี่ยเป็นครอบครัวแสนเหนื่อยแสนกดดัน คุณพ่อคุณแม่คาดหวังให้ลูกเรียนได้ท็อปกันทุกคน กฎระเบียบที่มีก็เยอะมาก และมักจะเคร่งเครียดกว่าบริษัทไทย เพราะไม่ใช่แค่ว่าเขาจะมองคุณเป็นครอบครัวแค่เพียงอย่างเดียว เขายังคอยมองการทำงานของคุณด้วย ว่าเติบโตแค่ไหน เน้นให้พยายามเพิ่มๆขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่คุณทำอยู่อาจดีแล้ว แต่คุณห้ามหยุดพัฒนาและต้องพยายามให้มันดียิ่งขึ้นไป ซึ่งจุดนี้แหละค่ะที่ทำให้คนไทยหลายท่านที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นเกิดภาวะเครียดและซึมเศร้า เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ดีพอ (ก็เป็นปัญหาที่ได้ยินบ่อยๆ แบบที่สังคมญี่ปุ่นและเหล่ามนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นเผชิญอยู่นั่นเอง) สรุปว่าถึงจะ “เหมือนครอบครัว” แต่ก็เครียดอยู่ดีค่ะ
ส่วนระบบการทำงานของบริษัทญี่ปุ่นขอบอกเลยค่ะว่าซับซ้อนมาก และต้องยึดขั้นตอนเป๊ะๆ ต้องรอคนนั้นเซ็นเอกสาร คนนี้อนุมัติ คนโน้นพิจารณา รอระดมสมองกับทีมอย่างเป็นทางการ รอการแก้ไขครั้งที่ 1 2 3 … แต่ทั้งนี้แม้ขั้นตอนงานจะซับซ้อน แต่ก็มีขั้นตอนและเดดไลน์งานที่ชัดเจนมากเช่นกัน เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะทำให้การทำงานบริษัทญี่ปุ่นนั้นเคร่งแล้วเครียดด้วยค่ะ การทำงานแบบนี้สำหรับบริษัทอื่นคู่ค้าที่ต้องติดต่อร่วมกันทำงานแล้วต้องรับเอกสารงานก่อนเดตไลน์งานจริงอาจมีปัญหาในการทำงานร่วมด้วย เพราะเขายึดวันที่ตกลงกันเป็นหลักเลย

สล็อต

หัวหน้างาน
บริษัทไทย : หัวหน้างานร้อยพ่อพันแม่
หัวหน้างานในบริษัทไทยจะมีตำแหน่งงานชัดเจนค่ะ คนนี้คือหัวหน้าแผนก นี่คือรองหัวหน้าแผนก ที่เหลือคือพนักงานทั่วไป ทำให้ไม่มีความซับซ้อนในการรอผู้มีอำนาจตัดสินใจมากนัก แต่ลักษณะหัวหน้าบริษัทไทยหาคำจำกัดความไม่ได้เลยค่ะ เพราะหัวหน้าแบบไทยเนี่ยแต่ละคนแตกต่างกันเยอะจริงๆ แต่จะขอแบ่งเป็น 2 ประเภทให้เข้าใจง่ายๆ
1.หัวหน้างานไทยที่มีภาวะผู้นำที่ดี ; เก่งงานแล้วยังเก่งSoft skillsด้วย
เป็นหัวหน้าที่สั่งงานแล้วไม่ได้ปล่อยผ่านรอแค่วันส่งงานหรือรอจับผิด แต่มีภาวะผู้นำในการเข้ามาสอนงาน คุยสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง เข้าถึงง่ายไม่ดุด่าอย่างเดียว เมื่อมีปัญหาก็เด็ดขาดมากพอที่จะแก้ไขสถานการณ์หรือเข้าไปสอบถามและช่วยลูกน้องแก้ไขปัญหา ใช้เหตุผลกับความรู้สึกควบคู่ตามสถานการณ์และตามเป้าหมายบริษัท จะมีมากมีน้อยอันนี้แล้วแต่ว่าใครโชคดีได้เจ้านายที่ดีไปนะ
2.หัวหน้างานไทยที่เน้นสั่งอย่างเดียว
ก็เป็นหัวหน้างานแบบที่อาจไม่ดีสักเท่าไรแน่หากพบเจอ แต่ก็มักจะได้ยินกันบ่อยๆเพราะงั้นก็อยากให้รู้ไว้ว่าคนแบบนี้มีอยู่จริงๆนะ สั่งงานไว้แต่รายละเอียดอย่างไรไปศึกษาเอง บรีฟงานรุนแรงต้องได้เป้าหมายตามที่วางไว้ ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ใช้ความรู้สึกส่วนตัวเลือกที่รักมักที่ชัง หรือเลือกปฏิบัติกับพนักงาน ขณะเข้าไปสัมภาษณ์งานหากเราประเมินสถานการณ์ขณะสัมภาษณ์กับหัวหน้างานได้บ้าง อาจทำให้รอดพ้นปัญหานี้ได้บ้างค่ะ

บริษัทญี่ปุ่น : หัวหน้างานซับซ้อน มากกว่า2คน
งงสิคะ คราวนี้สำหรับคนไทยที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นในไทย หลายคนทำนานแล้วก็ยังไม่ชินรูปแบบผังองค์กรแบบญี่ปุ่นผสมไทย ในความเป็นจริงคุณอาจเป็นลูกน้องใต้บังคับของหัวหน้าแผนกชาวไทย 1ท่าน ที่รองลงมาจากซีเนียร์คนญี่ปุ่น ซึ่งเราต้องคอยปรึกษาตลอด ในทางปฏิบัติจึงคล้ายจะเป็นเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกัน

สล็อตออนไลน์

สำหรับบริษัทญี่ปุ่นแล้วหากเทียบตำแหน่งงานที่เท่ากันของหัวหน้าชาวไทยและชาวญี่ปุ่น เขาจะยึดชาวญี่ปุ่นเป็นหัวหน้างานค่ะ ซึ่งอำนาจการตัดสินใจใหญ่จริงๆหัวหน้าชาวไทยของเรานั้นก็ต้องรอให้หัวหน้าญี่ปุ่นอีกท่านตัดสินใจเช่นกัน ทำให้การประชุมงานกันในบางหัวข้อบางเรื่องวุ่นวายในหลายๆครั้ง ยังไม่รวมกับวัฒนธรรมองค์กรนั้นด้วย เพราะบางองค์กรหัวหน้างานต้องการงานไอเดียใหม่ๆ แต่ซีเนียร์ผู้ตรวจงานคุณด่านแรกอาจเป็นคนหัวเก่า ทำให้การทำงานสับสนต้องแก้ไขเอาใจหัวหน้ากันไป ซึ่งสังคมการทำงานบริษัทญี่ปุ่นในไทยเอาจริงๆก็ตึงเครียดน้อยกว่าในญี่ปุ่นมากแล้วนะคะ

ส่วนหัวหน้างานชาวญี่ปุ่นในบริษัทญี่ปุ่นจะลองสรุปง่ายๆให้เหลือ 2 แบบ ได้แก่แบบแรกเจ้านายสายใจดี เข้าถึงง่าย สุภาพ จริงจังกับงานประมาณนึงแต่เข้าใจลักษณะคนไทย ทำให้ไม่มาจ้ำจี้จำไชกับเรามากนัก กับอีกแบบคือเจ้านายญี่ปุ่นจริงจังแบบสังคมญี่ปุ่น โดยมากมักมาอยู่ที่ไทยไม่นาน หรือมีลักษณะนิสัยที่เนี๊ยบอยู่แล้วตั้งแต่ต้นทำให้การทำงานดูจริงจังแล้วตึงไปเสียทุกอย่าง แบบหลังนี้ถ้าคนไทยไม่ชินอาจต้องปรับตัวกันสักพักเลย เพราะเขาอาจเป็นคนที่ไม่เปิดรับความคิดด้วยทำให้การอธิบายระบบงานใดๆไปลำบากรวมถึงเราเองต้องปรับตัวในการทำงานล่วงหน้าและรอบคอบกับงานให้มากขึ้นด้วย

เงินเดือน
สำหรับวุฒิปริญญาตรีทั่วไป ไม่ว่าคุณจะจบที่ไหน เกรดเฉลี่ยเท่าไร สิ่งนั้นอาจเป็นต้นทุนเพียงเล็กน้อยหรือเพียงคอนเนคชั่นในการเริ่มต้นทำงานเท่านั้น เงินเดือนคุณเมื่อเริ่มต้นจะมีประมาณ 15,000บาท พอกันทุกที่ เพราะสิ่งที่อัพเงินเดือนให้มากขึ้นนั้นจะเป็นประสบการณ์ทำงานและอายุงานค่ะ ความแตกต่างของแต่ละคนจะเริ่มเห็นเมื่อทำงานไปซักพัก
เงินเดือนเริ่มต้นบริษัทไทย : 15,000 บาทขึ้นไป
เรื่องจริงอันแสนเจ็บปวดว่าด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่รับจริงอยู่ที่ 15,000 บาทแม้คุณจะทำงานใจกลางเมือง ซึ่งเมื่อหักค่าครองชีพแล้วอาจไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป คุณอาจเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟบางบริษัทได้ค่ะ บางบริษัทมีแอบให้ความหวังไว้ด้วยว่ายังไม่รวมเบี้ยขยัน+ค่าคอมมิชชั่นนะซึ่งอาจถึง25,000บาท แต่ขอแตะเบรคไว้เลยนะว่าเงินเพิ่มเติมดังกล่าวไม่ได้กันมาง่ายๆแน่ แล้วยังไม่มั่นคงเอาเสียเลย ซึ่งสิ่งนี้อยากจะเตือนเด็กจบใหม่ด้วยนะในการเลือกบริษัททำงาน ให้พิจารณาความสามารถตัวเองและประเมินเงินเดือนไปก่อน อย่าปล่อยให้เขากดเงินเดือนลงเด็ดขาด!

jumboslot

เงินเดือนเริ่มต้นบริษัทญี่ปุ่น : 18,000 บาทขึ้นไป (ไม่รวมค่าภาษา)
สำหรับบริษัทญี่ปุ่นอยากแบ่งเรื่องเงินเดือนเป็น2ประเภท
1.ผู้ที่ยื่นสมัครงานโดยไม่ขอใช้ภาษาญี่ปุ่น อาจมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาก่อนบ้าง หรือมาทำงานบริษัทญี่ปุ่นแบบไม่มีความสามารถภาษาญี่ปุ่นเลย ในส่วนนี้เงินเดือนเริ่มต้นจะอยู่สูงกว่าบริษัทสัญชาติไทยเล็กน้อย ตัวเลขที่เห็นบ่อยอยู่ประมาณ 18,000 บาท แต่โดยส่วนมากหากมีพื้นฐานในการใช้ภาษาญี่ปุ่นมาก่อน จบทางด้านนี้โดยตรง แต่เลือกไม่ยื่นภาษา เงินเดือนจะเริ่มต้นที่ 20,000-22,000 บาทค่ะ
2.ผู้ที่ยื่นสมัครงานโดยเจาะจงตำแหน่งที่ใช้ภาษาญี่ปุ่น ตั้งแต่ระดับ JLPT N3 ขึ้นไป (ความสามารถการใช้จริงอาจต้องการ JLPT N2) ส่วนนี้จะได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 25,000-30,000 บาท การใช้งานภาษาญี่ปุ่นก็อาจไม่มากนัก ใช้เพียงภายในบริษัท หรือสานสัมพันธ์เล็กน้อยกับลูกค้าเป็นต้น

โบนัส
บริษัทไทย ในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้ 2-3 เดือนเป็นพื้นฐานค่ะ แต่จำนวนเงินอาจไม่ได้มากเท่ากับโบนัสปีก่อนที่เคยจ่ายมาแล้ว โดยมากได้รับช่วงต้นปีของทุกปี
บริษัทญี่ปุ่น โดยรวมแล้วจะมากกว่าบริษัทไทย จากประสบการณ์รวมถึงบุคคลรอบตัวของนักเขียน ได้กันราว 3-6 เดือนค่ะ แม้จะได้หลายเดือนแต่ช่วงหลายปีมานี่จำนวนเงินก็น้อยลงจากปีก่อนๆเช่นกัน บางบริษัทที่ผลประกอบการดีมากถึงแม้เศรษฐกิจแบบนี้ ก็อาจได้โบนัส 7-8 เดือนได้ มีทั้งบริษัทให้เงินโบนัสเริ่มตั้งแต่ต้นปี และบริษัทที่พิจารณาจ่ายกลางปีค่ะ
**โบนัสเป็นเพียงน้ำบ่อหน้านะคะ หากใช้ประกอบการตัดสินใจในการเข้าทำงานอาจต้องระวังสักหน่อย

slot

สวัสดิการ
สวัสดิการสำหรับคุณแล้วแบบใดจึงเรียกว่าดีบ้างคะ? หากความต้องการของคุณเป็นเพียงแค่ประกันสังคม​ ลาป่วย​ ลากิจ​ ลาพักร้อน​ มีครัวหรืออาหารว่างให้​ สำหรับเรานั่นเรียกว่าสวัสดิการพื้นฐานของบริษัทที่ควรมีตามกฎหมาย​ค่ะ

บริษัทไทย​ = สวัสดิการพื้นฐานครบ
เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างนึงค่ะที่บริษัทไทยแท้นั้น ส่วนใหญ่สิ่งที่ให้คุณมีเพียงสวัสดิการพื้นฐานตามที่กฏหมายกำหนดเท่านั้น​ แต่ถ้าเป็นบริษัทดังๆใจกลางกทม. หรือบริษัทใหญ่ในเขตโรงงานอุตสาหกรรม​สิ่งที่จะมีให้เพิ่มเติมก็มักจะเป็นประกันสุขภาพ​เอกชน ​/ ประกันอุบัติเหตุ​เอกชน​ เพิ่มวันลาป่วยได้มากกว่าปกติ​ บางที่อาจมีโรงอาหาร อาหารกลางวัน / อาหารเย็นให้ฟรี หรือหากคุณทำงานโรงแรมหรือรีสอร์ทก็อาจได้รับการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องอาหารที่พักเช่นกัน

บริษัทญี่ปุ่น = สวัสดิการที่นึกถึงใจเขาใจเรา
สำหรับบริษัทญี่ปุ่นในไทยจากประสบการณ์เลย นอกจากสวัสดิการพื้นฐานตามกฏหมายไทยที่ทุกบริษัทควรมีแล้ว สิ่งที่เขาจะให้เพิ่มส่วนใหญ่จะเป็นค่าเดินทางมาทำงานค่ะ (เพราะว่าบริษัทในประเทศญี่ปุ่นให้กันเป็นเรื่องปกติ) ซึ่งจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับที่อยู่และโครงสร้างของบริษัทด้วย สมมติว่าคุณได้ค่าเดินทางเดือนละ 1,500บาท เงินส่วนนี้ก็จะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างดีเลยค่ะ และต่อมาก็เป็นสิทธิในการเปิด OPD เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งสิทธิเริ่มแรกจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000บาท/ครั้ง ซึ่งบริษัทไทยก็อาจมีบ้าง แต่บริษัทญี่ปุ่นจะนิยมมีกันมากกว่าเหมือนเป็นสวัสดิการพื้นฐานไปแล้วค่ะ แตกต่างกันมากโดยไม่ต้องพูดถึงค่ะ