วิธีไปดูซูโม่ที่ญี่ปุ่นวิธีไปดูซูโม่ที่ญี่ปุ่น

แนะนำวิธีการไปดูซูโม่ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การจองตั๋ว เวลาแข่ง สถานที่แข่ง ที่นั่ง มารยาท กิจกรรมที่น่าสนใจในสนามซูโม่ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับซูโม่ บรรยากาศรอบสนามซูโม่และสิ่งที่น่าทำในวันที่ไปดูซูโม่

ซูโม่คืออะไร
“ซูโม่” คือหนึ่งในกีฬาญี่ปุ่นแท้ๆที่คนชอบอะไรญี่ปุ่นๆ ควรจะลองไปดูซักครั้ง นอกจากจะเป็นกีฬาที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,500 ปีแล้ว ยังมาพร้อมกับเอกลักษณ์มากมายที่หาชมในกีฬาอื่นไม่ได้ ตั้งแต่การแต่งกาย ทรงผม และวิถีชีวิตของนักซูโม่เองก็เป็นสิ่งน่าสนใจไม่แพ้การแข่งขัน รวมถึงพิธีกรรมก่อนและหลังแข่ง เนื่องจากซูโม่ไม่ได้เป็นแค่กีฬาที่แข่งเอาแพ้ชนะ แต่ยังมีความหมายในทางศาสนาและวัฒนธรรมอื่นๆที่แฝงมาด้วย ทำให้เป็นกีฬาที่มีประเพณีแฝงมาให้ชมเยอะพอสมควร ไม่ได้มีให้ดูแค่ผลแพ้ชนะเท่านั้น
กฏกติกามารยาทของการแข่งซูโม่นั้นจริงๆแล้วง่ายดายเอามากๆ การตัดสินแพ้ชนะกันมีกฏแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
1 ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้มลงบนพื้นได้
2 ทำให้อวัยวะส่วนอื่นนอกเหนือจากเท้าแตะพื้นได้
3 ทำให้ร่างกายคู่ต่อสู้ออกจากลานแข่งขันได้

jumbo jili

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้การตัดสินแพ้ชนะของซูโม่ทำได้ในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น คนที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยดูซูโม่มาก่อนอาจมองว่าเป็นกีฬาที่ไม่มีอะไรดูเพราะจบอย่างรวดเร็ว แต่เราขอแนะนำว่าการไปดูซูโม่นั้น ไม่ได้ดูแค่ผลแพ้ชนะ แต่ไปเพื่อสัมผัสประเพณี พิธีกรรม และบรรยากาศต่างๆที่อยู่รอบๆการแข่งซูโม่ด้วย
ที่สำคัญการแข่งซูโม่ในวันหนึ่งนั้นมีหลายร้อยคู่ ทำให้สนุกได้ยาวๆ ตื่นเต้นได้ตลอดวัน อย่างคู่ที่เก่งๆนั้นก็แข่งกันได้สนุกแบบที่คุ้มค่าแม้คู่นึงจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เทคนิคต่างๆที่น่าสนใจ หากนั่งดูให้ดีก็จะเห็นว่ามีการโจมตีที่สามารถใช้ได้มากมาย ไม่ได้ใช้แค่พลังและน้ำหนักกดอีกฝ่าย แต่ยังมีการโต้กลับ การหลอกล่อ การใช้แรงของอีกฝ่ายให้เป็นประโยชน์ ทุกครั้งนักซูโม่ที่ตัวเล็กล้มนักซูโม่ที่ตัวใหญ่กว่าได้กองเชียร์ในสนามจะโห่ร้องกึกก้อง เป็นบรรยากาศที่น่าไปสัมผัสด้วยตัวเอง

ในหนึ่งวันซูโม่จะมีแข่งครบทุกระดับไล่จากระดับล่างสุดจนสูงสุด นักซูโม่แทบทุกคนจะได้มาแข่ง 1 แมตช์แน่ๆทุกวัน ยกเว้นคนที่ได้พัก โดยในแต่ละวันที่มีแข่งก็จะเริ่มแข่งตั้งแต่ประมาณแปดโมงครึ่งในยามเช้า ซึ่งเริ่มจาก Banzukegai ไล่ไปเรื่อยๆ โดยระดับล่างๆที่แข่งในตอนเช้านั้นแทบจะไม่มีคนดู ส่วนระดับที่ยิ่งสูงก็จะยิ่งมีคนเข้ามาดูมากขึ้น แฟนซูโม่ตัวจริงส่วนใหญ่จะนั่งติดเก้าอี้ตั้งแต่ประมาณบ่ายสอง (ช่วงที่ระดับ Juryo เริ่มแข่ง) ไปจนจบการแข่งของ Makuuchi ประมาณหกโมงเย็น ถ้าคุณอยากไปชมนักซูโม่เก่งๆเป็นหลักก็ไม่จำเป็นต้องมาแต่เช้าก็ได้ แต่แนะนำให้มาตั้งแต่ประมาณระดับ Juryo แข่ง

สล็อต

ซูโม่แข่งกันที่ไหนเมื่อไหร่
การแข่งขันซูโม่ในญี่ปุ่น ไม่เหมือนกับลีกกีฬาใหญ่ๆอย่างเช่นฟุตบอล ที่จะแบ่งรอบตามฤดูกาลหรือรอบเวลาของปีๆละรอบ แต่ซูโม่จะแบ่งออกเป็นรอบเล็กๆซึ่งปีนึงมีแข่งถึง 6 รอบ และหนึ่งรอบใช้เวลาแข่งแค่สิบห้าวันเท่านั้นก็รู้ว่าใครเป็นแชมป์

ทั้งหกรอบจะจัดกันคนละเวลาและคนละสถานที่ เดือนที่จัดก็คือเดือน 1, 3, 5, 7, 9, 11 โดยในหกครั้งนี้ สามครั้งแข่งที่โตเกียว และที่เหลือแบ่งกันจัดที่โอซาก้า นาโกย่า และฟุกุโอกะ เมืองละหนึ่งครั้ง
เดือน 1, 5, 9 สามครั้ง แข่งที่โตเกียว
เดือน 3 แข่งที่โอซาก้า
เดือน 7 แข่งที่นาโกย่า
เดือน 11 แข่งที่ฟุกุโอกะ
โดยการแข่งซูโม่แต่ละรอบซึ่งจะใช้เวลาสิบห้าวันนั้น ในแต่ละวันก็มักจะมีการแข่งให้ดูเป็นร้อยๆคู่โดยไล่ตั้งแต่นักซูโม่ระดับล่างสุดไปจนระดับบนสุดเลย นักซูโม่ในวงการแทบทุกคนจะมีตารางได้ลงแข่งหนึ่งแมตช์ในทุกๆวัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเลือกไปดูวันที่เท่าไหร่ก็สามารถดูนักซูโม่ดังฝีมือดีได้

สล็อตออนไลน์

สถานที่ดูซูโม่ในญี่ปุ่น
หลังจากเลือกเดือนที่จะไปชมได้แล้ว ก็ต้องเลือกสถานที่ๆจะไปให้ตรงตามที่จัด
สำหรับการแข่งขันทั้งสามรอบของโตเกียวนั้น จะแข่งที่เดียวกันทั้งหมดคือที่ Ryogoku Kokugikan
การแข่งขันที่โอซาก้าจัดขึ้นที่ Osaka Prefectural Gymnasium (Edion Arena Osaka)
การแข่งขันที่นาโกย่าจัดขึ้นที่ Aichi Prefectural Gymnasium
การแข่งขันที่ฟุกุโอกะจัดขึ้นที่ Fukuoka Kokusai Center

สนามแข่งซูโม่เรียวโกคุเป็นสถานที่แข่งซูโม่ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในวงการซูโม่ญี่ปุ่น ทั้งในเรื่องของประวัติศาสตร์และความน่าสนใจของตัวสถานที่เอง รวมถึงสิ่งต่างๆที่มีให้ทำมากมายนอกจากการดูซูโม่
นอกจากจะเป็นสนามที่มีการแข่งขันบ่อยที่สุดแล้ว ยังเป็นเหมือนกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าคนรักซูโม่อีกด้วย เพราะประวัติศาสตร์ต่างๆเกี่ยวกับซูโม่ก็มักจะผูกอย่กับที่แห่งนี้ นอกจากนี้ รอบๆก็ยังเป็นที่รวมค่ายนักซูโม่ที่เยอะที่สุดในญี่ปุ่น ห้างร้านต่างๆมากมายที่ขายอาหารเพื่อนักซูโม่ ร้านที่ขายขนมของฝากเกี่ยวกับซูโม่ และถนนสายประวัติศาสตร์ สวนที่ระลึก หรือรูปปั้นต่างๆเกี่ยวกับฮีโร่นักซูโม่ในอดีตอีกหลายแห่ง

jumboslot

สนามแข่งซูโม่ Ryogoku Kokugikan สามารถเดินทางไปได้โดยรถไฟสาย JR Chuo-Sobu Line หรือรถไฟใต้ดินสาย Toei Oedo Line ไปลงที่สถานี Ryogoku จากสถานีเดินไปจนถึงสนามไม่ไกล และถ้าเป็นวันที่มีแข่งจะมีกิจกรรมต่างๆให้ดูมากมาย เช่นตลาดนัดเล็กๆริมถนนที่มีเอกลักษณ์ตรงธงสีสันหลากหลาย มีของกินของฝากเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับซูโม่ให้เลือกซื้อมากมาย และตามทางเดินริมถนนก็มักจะมีคนจำนวนมากมายืนรอดูนักซูโม่ เหมือนกับสื่อบันเทิงมายืนรอดูดาราเดินพรมแดงที่งานแจกรางวัลลูกโลกทองคำยังไงยังงั้น ถือว่าเป็นบรรยากาศที่หาไม่ได้ถ้าไม่มาที่สนามแห่งนี้ด้วยตัวเองซักครั้ง
อธิบายอย่างสั้นๆและจำง่ายที่สุดก็คือ เช้าคนน้อย บ่ายคนเยอะ ถ้าอยากเดินรอบๆสนามเพื่อถ่ายรูป ให้รีบไปเช้าๆ แต่ถ้าอยากเชียร์นักซูโม่เก่งๆ ดังๆ ระดับสูงๆ ให้ไปตอนบ่าย

ตั๋วซูโม่หนึ่งใบนั้นสำหรับหนึ่งวัน เมื่อเราซื้อแล้วสามารถอยู่ในสนามได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น และการแข่งขันในหนึ่งวันของซูโม่นั้นจะมีจัดแข่งทุกระดับ พูดง่ายๆคือนักซูโม่แทบทุกคนจะมีตารางต้องลงแข่งยกเว้นคนที่ได้พัก โดยไล่จากระดับล่างสุดในตอนเช้า ไปจบที่ระดับสูงสุดในเวลาประมาณหกโมงเย็น
ถ้าใครไปดูตั้งแต่เช้าจะพบว่านักซูโม่ที่แข่งอยู่เป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าบางคนตัวยังไม่ใหญ่ด้วย เพราะว่าตอนเช้าเป็นเวลาของนักซูโม่หน้าใหม่นั่นเอง และสนามแข่งก็จะยังเต็มไปด้วยเก้าอี้ที่ว่างเพราะคนส่วนใหญ่มักเลือกจะเริ่มมาชมรอบบ่ายๆ ที่นักซูโม่ดังๆเริ่มลงแข่ง

ในภาพด้านบนถ่ายตั้งแต่เช้าประมาณ 9-10 โมง จะเห็นว่าแม้แต่ที่นั่งสีเขียวใกล้ขอบสนาม ซึ่งเป็นที่นั่งที่ดีและแพงที่สุดที่แฟนพันธ์แท้จะจองกันจนเต็มเสมอ (เรียกว่า ทามาริเซกิ) ก็ยังไม่มีคนมานั่งดู เพราะว่ารอบเช้าๆนั้นยังไม่น่าสนใจเท่ารอบบ่ายนั่นเอง

slot

มารยาทระหว่างชมซูโม่
มารยาทไม่ยาก หลักๆคือเหมือนกับการไปคอนเสิร์ตหรือการชมกีฬาอื่นๆนั่นเอง แต่จะเพิ่มเติมความเข้มงวดขึ้นมาในเรื่องของที่นั่งและการไม่รบกวนผู้อื่น

  1. สำหรับผู้คนในทุกที่นั่ง สามารถกินดื่มได้ตามปกติหากรักษาความสะอาดและไม่รบกวนที่นั่งข้างๆ
  2. ไม่ควรยืนขึ้นระหว่างการแข่งเพราะจะบังคนที่อยู่ข้างหลัง
  3. สำหรับที่นั่งชั้นดีที่สุดที่เรียกว่า ทามาริเซกิ (Ringside) เป็นที่นั่งที่ใกล้กับเวทีที่สุดและเป็นที่นั่งแบบนั่งพื้นทั้งหมด หากจะจองที่นั่งตรงนี้ต้องระวังเรื่องมารยาทของตนเองมากเป็นพิเศษด้วย แม้จะแพงกว่าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสบายกว่า อะไรๆก็อาจจะลำบากกว่าเดิมได้ก่อนจองจึงต้องระวัง
    สิ่งที่ลำบากกว่าที่นั่งราคาถูกก็อย่างเช่น ห้ามกินอาหาร เข้าออกยากมาก ต้องถอดรองเท้า และการนั่งขัดสมาธิยาวๆก็อาจจะเมื่อยสำหรับคนที่ไม่ชิน เป็นต้น ส่วนใหญ่คนที่นั่งตรงนี้จึงเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้น และเราไม่แนะนำสำหรับมือใหม่
  4. ผู้นั่งทามาริเซกิแถวหน้าสุด ต้องระวังนักซูโม่ที่ตกลงจากเวทีมาด้วยตัวเอง (แต่ปกติกรรมการซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้า จะเป็นอดีตนักซูโม่และตัวใหญ่เหมือนกัน จะคอยป้องกันให้) หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

ดูบอลที่ญี่ปุ่นกับ 5 ทีมดังใน J-League

ถ้าพูดถึงกีฬาลูกหนังระดับโลก ก็ต้องนึกถึงลีกฟุตบอลอังกฤษ สเปน อิตาลี แต่ถ้าขยับมาพูดถึงฟุตบอลฝั่งเอเชียใครๆก็ต้องยกให้ J-League เป็นลีกอันดับหนึ่ง เพราะเป็นลีกเอเชียที่มีแฟนบอลทั้งชาวไทยและทั่วโลก วันนี้เราเลยรวมทีมดังในดวงใจในลีคแดนปลาดิบมาให้ทุกคนได้รู้จักกันแบบจัดเต็ม

1.ทีม Kawasaki Frontale
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งแชมป์ของตารางเจลีค 2 ปีซ้อน กับทีมตัวแทนจากเมืองคาวาซากิที่ไมไกลตากโตเกียว (จังหวัด Kanagawa) คาวาซากิ ฟรอนทาเล่ เรียกได้ว่าแรงสุดฉุดไม่อยู่จริงๆ (ขอเชียร์ออกนอกหน้าเพราะเป็นทีมในดวงใจของคนเขียนเอง)

jumbo jili

ทีมนี้มีสีประจำสโมสรคือฟ้าและดำ ซึ่งเป็นสีเดียวกับสโมสร Gremio ทีมดังในลีคบราซิล เนื่องจากทั้งสองทีมเป็นพันธมิตรกันมาตั้งแต่ปี 1997 จึงไม่ต้องแปลกใจว่าลวดลายการฟาดแข้งจะแซ่บและไวไม่ต่างจากบอลบราซิล แถมยังมีนักเตะดาวเด่นอย่าง กองกลาง Kengo Nakamura และกองหน้า Yu Kobayashi ที่คว้ารางวัลผู้เล่นอันทรงคุณค่าในปี 2016และ 2017 มาอยู่ในทีมด้วย

ที่มาของชื่อทีม Frontale เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า “ข้างหน้า” ซึ่งสื่อถึงจิตวิญญาณของนักบุกเบิกที่พร้อมจะท้าทายและก้าวไปข้างหน้าเสมอ และยังสื่อถึงการพร้อมสู้ศึกอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมตั้งแต่เริ่มต้นอีกด้วย สโมสรนี้ถือปรัชญา “ส่งเสริมวัฒนธรรมกีฬาและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคมท้องถิ่น” มีการทำกิจกรรมด้านกีฬาเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในท้องถิ่นไปพร้อมกับการมุ่งมั่นฝึกอบรมเยาวชนด้านกีฬาด้วย Kawasaki Frontale มีสนามกีฬา Kawasaki Todoroki Stadium เป็นสนามทีมเหย้า

เหย้า : สนามกีฬา Kawasaki Todoroki Stadium
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Nambu ลงที่สถานี Musashi-Nakahara เดินอีก 15 นาที หรือนั่งรถไฟสาย Yokosuka มาลงที่สถานี JR Musashi Kosugi ทางออกฝั่งทิศเหนือ แล้วนั่งรถบัสที่ชานชาลาหมายเลข 2 ไปลงที่หน้าสนามกีฬาได้เลย (มีเฉพาะในวันที่มีการแข่งขัน)

สล็อต

2.ทีม Kashima Antlers
ถ้าจะพูดถึงหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงและโลดแล่นอยู่ในเจลีคมาอย่างยาวนาน ก็คงจะต้องนึกถึงทีม Kashima Antlers (คาชิม่า แอนท์เลอร์ส) ทีมประจำถิ่นของจังหวัดอิบารากิที่มีคนไทยอยู่เยอะมาก มีโลโก้เป็น “กวางเขาเหล็ก”

สิ่งที่ทำให้ทีมนี้โด่งดังมาตลอดก็คือตั้งเเต่เริ่มก่อตั้งเจลีคขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1993 Kashima Antlersก็เป็นทีมที่ไม่เคยตกชั้นลงไปยังลีครองเลยเเม้เเต่ครั้งเดียว แถมด้วยสถิติที่ลงเล่น 24 ฤดูกาลสามารถคว้าเเชมป์เจลีคไปถึง 8 ครั้งทีเดียว แม้เจลีคปีนี้ Kashima Antlers จะตกลงไปอยู่อันดับ 3 ของตาราง แต่ก็ถือว่ายังไม่ทิ้งฟอร์มเดิมไปเท่าไร และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นทีมที่มีแนวรับชั้นเยี่ยมและมีแนวรุกที่ดุดันสุดๆเพราะมีดาวดังอย่าง Azuto Uchida, Ken Shoji, Yuto Misao เป็นต้น

ทีมนี้ก่อกำเนิดขึ้นมาในฐานะทีมฟุตบอลของบริษัท Sumitomo ในปี 1947 โดยเคยมีฐานอยู่ที่เมืองOsaka แล้วต่อมาได้ย้ายมาที่เมืองKashima ในจังหวัดอิบารากิ จนได้ลงเล่นบนลีคสูงสุดของญี่ปุ่นมาโดยตลอด

ส่วนสนามเหย้าของทีมนี้ก็คือ Kashima Soccer Stadium อันเป็นสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ในลำดับต้นๆของญี่ปุ่น เพราะสามารถจุแฟนบอลได้ในคราวเดียวถึง 40,728 ที่นั่ง วันไหนที่มีแข่งจะมีแฟนๆโดยเฉพาะชาว Ibaraki ไปรวมตัวกันที่นี่เพื่อเชียร์ทีมในดวงใจกันอย่างเนืองแน่น พร้อมมีรถบัสรับส่งให้ลงที่หน้าสนามกีฬาเลย นอกจากไปเชียร์บอลแล้วที่ Kashima Soccer Stadium ยังมีอะไรๆให้ดู ให้เล่น อีกเพียบ ทั้งจุดชมวิว, โรงยิม, ร้านอาหาร เป็นต้น

สล็อตออนไลน์

สนามเหย้า: Kashima Soccer Stadium
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถบัส High-speed จากสถานี Tokyo ฝั่งทางออก Yaesu ที่ชานชลาหมายเลข 1 แล้วลงที่สถานี Kashima Soccer Stadium หรือ นั่งรถไฟ JR ที่สถานี Mito ไปลงที่สถานี JR Kashima Soccer Stadium

  1. ทีม Gamba Osaka
    มาถึงทีมดังฝั่งคันไซ netmba Osaka (กัมบะ โอซาก้า) แม้ในตารางล่าสุดสโมสรแห่งนี้จะรั้งอันดับ 8 หลังจากที่เคยร่วงไปเล่นลีครองมาสักพัก จริงๆแล้วสโมสรนี้เคยมีชื่อเสียงและทำผลงานได้ดีมากๆในอดีต จากการคว้าชัยชนะในเจลีคครั้งแรกในปี 2005 นอกจากนี้ ยังสามารถคว้าแชมป์ AFC champion league ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2008 ก่อนจะฟอร์มตกถึงขั้นต้องลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 2012 และค่อยๆฟื้นคืนตารางหลักมาอีกครั้ง ซึ่งเหล่าแฟนๆก็พยายามลุ้นให้คืนฟอร์มโดยเร็วกันล้นหลาม สโมสรแห่งนี้ยังเคยเป็นทีมเก่าที่ วิทยา เลาหกุล, นที ทองสุขแก้ว, รณชัย สยมชัย อดีตนักเตะทีมชาติไทยเคยไปค้าแข้งด้วยมาแล้ว

ทีม Gamba อยู่ที่เมือง Suita จังหวัดโอซาก้า มีฉายาประจำทีมว่า”เจ้าเวหา” ปัจจุบันมีบริษัท Panasonic เป็นเจ้าของทีม คำว่า Gamba ในภาษาญี่ปุ่นสามารถแปลว่า “พยายามทำให้ดีที่สุด” ก็ได้ โดยมาจากคำว่า Gambare แต่จริงๆชื่อของทีมมาจากภาษาอิตาลีคำว่า Gamba ที่แปลว่า “ขา”

สโมสรแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1980 ในชื่อ สโมสรฟุตบอล Matsushita ในจังหวัดนารา ภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น Gamba Osaka เมื่อย้ายมาอยู่ที่จังหวัดโอซาก้าในปี 1991 และได้เข้าร่วมเจลีคในปี 1992 ส่วนสนามเหย้าของทีมนี้ก็คือที่ Suita City Football Stadium ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ Gamba Osaka ชื่อ Blu STORIA ภายในสนามให้ได้เข้าชมฟรีด้วย

jumboslot

สนามเหย้า : Suita City Football Stadium
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ monorail สาย Hankyu Kyoto จากสถานี Minami Ibaraki ไปลงที่สถานี Banpaku-kinen-koen แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาที หรือ นั่งรถไฟสาย JR kyoto ลงที่สถานี JR Ibaraki แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ Expo’70 Commemorative Stadium เดินต่ออีก 10 นาที

  1. ทีม Hokkaido Consadole Sapporo
    วินาทีนี้สำหรับแฟนบอลชาวไทย จะไม่พูดถึงทีมนี้ไม่ได้ Hokkaido Consadole Sapporo ในฐานะต้นสังกัดใหม่ของ “ชนาคุง” ชื่อเล่นใหม่ของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ไปเล่นเป็นกองกลางและนำพาสโมสรที่เคยอยู่ท้ายๆของตารางก้าวกระโดดโลดแล่นจนวิ่งแซงขึ้นมาครองตำแหน่งอันดับ 4 ของตารางได้อย่างสวยงาม ที่นี่เป็นสโมสรที่อยู่ในเมืองซัปโปโรบนเกาะฮอกไกโด มีสนามเหย้าคือ Sapporo Dome ที่เป็นสนามไซส์ยักษ์ระดับแนวหน้าของภูมิภาคนี้ นอกจากจะใช้เป็นรังเหย้าของสโมสรแห่งนี้แล้ว ยังถูกใช้สำหรับเป็นสนามเบสบอลของทีม Hokkaido Nippon Ham Fighters ด้วย

ความหมายของชื่อทีมนั้น เกิดจากการผสมคำว่า consado บวกกับคำว่า ole ที่เป็นเสียงร้องแสดงความยินดีในภาษาสเปน ส่วนคำว่า consado นั้นเป็นผวนมาจากคำว่า dosanko ชื่อม้าสายพันธุ์ท้องถิ่นของฮอกไกโด และคำนี้ยังเป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกชาวฮอกไกโดอีกด้วย

สโมสรฟุตบอลอาชีพทีมนี้ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1996 และเป็นทีมแรก ที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นชาวเมืองซึ่งสามารถร่วมลงทุนด้วยในนาม “บริษัท ฮอกไกโด ฟุตบอลคลับ จำกัด (HFC)” เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าอีกหนึ่งอย่างให้กับท้องถิ่น โดยชาวเมืองผู้ถือหุ้นจะได้ออกความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกิจการและสร้างนักกีฬาอาชีพจากท้องถิ่นใน Hokkaido ได้อย่างอย่างเต็มที่ เป็นสโมสรที่ถือได้ว่าเป็นของชาวเมืองอย่างแท้จริง จึงทำให้สโมสรแห่งนี้เติบโตอย่างมีรากฐานมั่นคงและได้รับการสนับสนุนจากชาวเมืองอย่างล้นหลาม

slot

สนามเหย้า : Sapporo Dome
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟสาย Toho จากสถานี Sapporo Subway ไปลงที่สถานี Fukuzumi แล้วเดินต่อไปที่สนามประมาณ 10 นาที หรือสามารถขึ้นรถ Shuttle bus จากสถานี JR Sapporo ไปลงที่สนามได้เลย (เฉพาะวันที่มีการแข่งขัน)

5.ทีม Sanfrecce Hiroshima
Sanfrecce Hiroshima สโมสรอดีตแชมป์เจลีคสามสมัย ปัจจุบันมีนักเตะชาวไทยอย่าง ”เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ไปค้าแข้งเป็นกองหน้าอยู่ในทีม โดยทีมมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองฮิโรชิม่า ส่วนชื่อนั้นมาจากการผสมคำว่า San ซึ่งหมายถึงเลข 3 ในภาษาญี่ปุ่นกับ คำว่า frecce ซึ่งแปลว่าลูกศรหรือลูกธนูในภาษาอิตาลี โดยชื่อทีม Sanfrecce มาจากตำนานเรื่องเล่าธนู 3 ดอก ที่โมริ โมโตนาริ ขุนพลสมัยโบราณผู้เรืองอำนาจในแถบฮิโรชิม่าช่วงศตวรรษที่ 16 เคยสอนลูกชายทั้งสามว่าการหักธนูดอกเดียวอาจทำได้ง่ายแต่เมื่อนำธนูมารวมกันถึง 3 ดอกจะแข็งแกร่งจนหักไม่ไหว เพื่อสื่อว่าสามัคคีคือพลังนั่นเอง และเรื่องเล่านี้ก็ปรากฏอยู่ในโลโก้ของสโมสร

สโมสรแห่งนี้เริ่มต้นมาจากการเป็นทีมของบริษัทมาสด้า ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Sanfrecce Hiroshima ในปี 1992 และมาประสบความสำเร็จในช่วงหลังคือการคว้าแชมป์เจลีคได้ 3 สมัยในปี 2012, 2013 และ 2015 นอกจากนี้ทีมนี้ยังเคยคว้าแชมป์ Japanese Super Cupได้ 3 สมัยในปี 2008, 2013 และ 2014 ฉะนั้น แฟนๆจะไม่เคยผิดหวังในเกมการเล่นของสโมสรนี้ที่ดุเด็ดเผ็ดมันด้วยเกมรุกที่เร็วและชัดเจน
กีฬาก็เป็นอีกรูปแบบที่นิยมกันเป็นอย่างมาก

รู้รอบเรื่องซูโม่

ถ้าพูดถึงกีฬาญี่ปุ่นละก็ ภาพของนักซูโม่ลอยมาแน่นอน เพราะด้วยรูปร่างอันสูงใหญ่ นุ่งผ้าน้อยชิ้นพร้อมทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้หลายคนจดจำกีฬาญี่ปุ่นชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี มาค้นหาความน่าสนใจและเสน่ห์ของกีฬาซูโม่กับป้าเมโกะแล้วจะรู้ว่าซูโม่เป็นมากกว่ากีฬาของชาติญี่ปุ่นเสียอีก~

ประวัติซูโม่
ซูโม่มีประวัติยาวนานกว่า 1,500 ปี ถือเป็นกีฬาที่ฝังรากลึกเข้าไปในวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่เดิมซูโม่ไม่ได้เป็นกีฬาเอาไว้ชมกันอย่างเดียว แต่ยังเอาไว้แสดงประกอบพิธีกรรมหน้าเทพเจ้าตามความเชื่อของชินโต เพื่อแสดงความเคารพเทพเจ้าและเพื่อขอพรให้พืชผลออกดีในฤดูเก็บเกี่ยวอีกด้วย จนถึงสมัยเอโดะ ในสมัยนั้นได้เริ่มมีการจัดการแข่งซูโม่ขึ้นเพื่อหาเงินบริจาคสร้างศาลเจ้าหรือวัด คนธรรมดาก็เลยมีโอกาสได้ชมซูโม่ และนักกีฬาซูโม่มืออาชีพก็ได้ถือกำเนิดขึ้น จนพัฒนามาเป็นกีฬาซูโม่ที่เราเห็นอย่างทุกวันนี้

jumbo jili

กว่าจะได้เป็นนักซูโม่
การจะได้เป็นนักซูโม่นั้นไม่ง่าย เพราะต้องผ่านการฝึกฝนหลายขั้นตอน เพราะการเป็นนักซูโม่ได้นั้นถือว่ามีเกียรติและซูโม่ยังถูกยกย่องให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการดำรงชีวิตตามแบบแผนญี่ปุ่นดั้งเดิม ดังนั้นนักซูโม่จึงต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะการฝึกซ้อม การกิน และวิธีการดำรงชีวิต

ก่อนจะมาเป็นซูโม่มืออาชีพต้องสมัครเข้าโรงเรียนฝึกหรือที่เรียกว่า ‘เฮยะ’ เสียก่อนเพราะซูโม่ต้องมีสังกัดอยู่ ถ้าเปรียบแบบบ้านเราคือต้องเป็นศิษย์ในค่ายมวย แต่ละค่ายอาจมีกฎเกณฑ์รับสมัครต่างกัน แต่ส่วนมากจะรับสมัครอายุไม่เกิน 23-25 ปี ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 165-167 เซนติเมตร น้ำหนัก 65-67 กิโลกรัมขึ้นไป (ค่อยไปขุนน้ำหนักทีหลังได้) และเป็นเพศชายเท่านั้น นอกจากการฝึกทักษะการปล้ำมวยแล้วพวกเขายังต้องเข้าห้องเรียนวิชาการเป็นเวลา 6 เดือน เช่นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ซูโม่ การเขียนพู่กัน หรือสังคมศาสตร์ก็ต้องเรียนเหมือนกัน

สล็อต

โดยตารางชีวิตของซูโม่ฝึกหัดนั้นเข้มงวดไม่เบา เพราะถูกกำหนดไว้หมดแล้วโดยเริ่มตั้งแต่ตื่นนอน 6 โมงเช้า / 6 โมงครึ่งฝึกซ้อม / 11 โมงเช้าอาบน้ำ / เที่ยงทานอาหารกลางวัน / บ่ายสองนอนหรือพักผ่อนตามอัธยาศัย / 4 โมงเย็น ทำความสะอาดและฝึกซ้อม / 6 โมงเย็น ทานอาหารเย็น /สามทุ่มครึ่ง เข้านอน (เฮยะจะปิดประตู ปิดไฟหมด เป็นการบังคับให้นอน) เป็นต้น

กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นแถวหน้าในวงการนั้นไม่ง่าย ใช้ทั้งเวลาและความอดทนไม่น้อย ลำดับขั้นของซูโม่มีทั้งหมด 6 ขั้น จะได้เลื่อนขั้นหรือถูกลดขั้นไปลำดับไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลงานว่าแพ้หรือชนะมากเท่าไร โดยขั้นต่ำสุด คือ Jonokuchi ซึ่งถือว่าเป็นขั้นแรกสุดและลำบากสุดก็ว่าได้ เพราะไหนจะต้องฝึกซ้อมแล้วยังต้องช่วยงานในเฮยะ เช่นทำความสะอาด หุงอาหาร และปรนนิบัติรุ่นพี่ (ป้าว่าอารมณ์เป็นรุ่นน้องต้องโดนรับน้องนิดนึง) ไล่ไปจนถึงขั้นสูงที่เรียกว่า Makuuchi โดยตำแหน่งแชมเปี้ยนที่เรียกว่า Yokozuna เป็นตำแหน่งสูงสุดที่นักซูโม่ทุกคนใฝ่ฝัน~

สล็อตออนไลน์

บอกเลยว่าถ้าผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงและชนะติดต่อกันจนได้เลื่อนขั้นมาถึงตำแหน่ง Yokozuna ก็สบายแล้วเพราะรายได้นี่ไม่ธรรมดา โดยจะได้ค่าเบี้ยเลี้ยง (แม้ไม่ใช่ฤดูกาลแข่งขั้น) เดือนละ 2.8 ล้านเยนต่อเดือน (ย้ำว่าต่อเดือน) ถือว่าเยอะมาก เพราะแม้แต่อาชีพหมอญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ทำงานโรงพยาบาลทั่วไป 3-4 ปีก็ยังแทบไม่ถึงล้านเยนต่อเดือน และเงินนี้ยังไม่รวมค่าสปอนเซอร์ ค่าออกทีวี (กรณีดังเป็นเซเลบริตี้) ฯลฯ ป้าไม่แปลกใจเลยว่านักซูโม่ดังๆของญี่ปุ่นมีแฟน/ภรรยาสวยๆระดับดาราหรือนางแบบแถวหน้าก็ไม่น้อย

กติกาการเล่นซูโม่
กติกาการเล่นจริงๆแล้วแสนง่ายดาย ฝ่ายไหนจับอีกฝ่ายออกจากเชือกวงกลมหรือที่เรียกว่าโดเฮียว (ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.55 เมตร) ได้ก็ถือว่าชนะ ไม่มีอะไรซับซ้อน ตัดสินแพ้ชนะได้ง่ายๆเลยในไม่กี่นาที แต่แตกต่างกับมวยหรือกีฬายกน้ำหนักที่ว่าจะไม่มีการแบ่งประเภทของนักแข่งตามน้ำหนักใดๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมซูโม่ยิ่งตัวใหญ่ยิ่งดี เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอคู่ต่อสู้ตัวใหญ่แค่ไหน (ส่วนใหญ่ที่ป้าเห็นก็จะน้ำหนักประมาณ 140 กว่ากิโล)

jumboslot

ใครที่เคยดูการแข่งซูโม่คงเคยเห็นว่านักกีฬาซูมีการทำพิธีกรรมและท่าทางต่างๆก่อนเริ่มเล่น โดยนักซูโม่จะโปรยเกลือลงบนสังเวียนเพื่อความบริสุทธิ์ และจะยกขากระทืบเท้าทั้งสองข้างนั้นเพื่อเป็นการไล่ภูติผีปีศาจ เวทีซูโม่และกีฬาซูโม่นั้นถือเป็นของศักดิ์สิทธิตามความเชื่อศาสนาชินโด ตามประเพณีแล้วผู้หญิงห้ามก้าวเข้าไปโดยเด็ดขาด ปี 2018 ที่ญี่ปุ่นออกข่าวกันครึกโครมเนื่องจากนายกเทศมนตรีเกิดหมดสติขณะพูดเปิดงานบนเวทีแข่งซูโม่แล้ว พยาบาลซึ่งเป็นผู้หญิงจึงรีบรุกไปช่วยแต่กลับมีประกาศออกไมค์ว่าให้นางพยาบาลออกไปจากสนามแข่งโดยด่วน เหตุการณ์นี้เรียกเสียงวิพากวิจารณ์กันใหญ่เพราะศตวรรษที่ 21 แล้ว และเกิดเหตุฉุกเฉินขนาดนี้ยังจะยึดประเพณีนี้อีกหรือ…

อาหารซูโม่
กว่าจะขุนน้ำหนักเด็กหนุ่มผอมแห้งให้อ้วนท้วนได้ขนาดนั้น เรื่องกินถือเป็นเรื่องใหญ่และต้องมีวินัยไม่น้อย โดยทุกวันต้องกินให้ได้ประมาณ 20,000 แคลอรี (คนปกติกินประมาณ 2,500 แคลอรี มากกว่าเกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว) ที่น่าสนใจคือวิธีการกินเพราะซูโม่ที่เห็นตัวใหญ่ๆนั้นเขาไม่กินอาหารเช้ากันนะ เมื่อตื่นเช้ามาก็จะฝึกซ้อมอย่างหนักให้หิวจนสามารถกินได้เยอะๆในมื้อกลางวัน

slot

อาหารหลักของซูโม่คือ ‘Chanko-Nabe’ หรือหม้อไฟที่หลักๆแล้วประกอบด้วยเนื้อ ปลา ผัก เต้าหู้ เน้นโปรตีนเป็นสำคัญ เสริมด้วยข้าวสวยที่จะทานกันเป็นสิบชามหรือบางครั้งก็จะตบท้ายด้วยการเทเส้นอุด้งลงในน้ำซุปที่เหลืออีก และปิดท้ายด้วยเบียร์ เอาให้อิ่มหนำสำราญ ส่วนอาหารเย็นก็ยืนพื้นด้วยเมนูนี้เช่นกัน เมื่อท้องตึงแล้วก็ได้เวลานอนและต้องนอนตอนอิ่มเท่านั้นเพื่อจะได้ลดการเผาผลาญพลังงาน ดังนั้นจากตารางชีวิตประจำวันจะสังเกตได้ว่าซูโม่จะนอนหลังกินอาหารเที่ยงอิ่มๆเกือบสี่ชั่วโมงเลยทีเดียว (เอาเป็นว่าใครจะไดเอทกรุณาทำตรงกันข้ามกับการกินนี้~)

ใครอยากลิ้มลองว่าอาหารซูโม่เป็นอย่างไรให้ไปที่ย่าน Ryogoku ที่โตเกียวได้เลย ซึ่งย่านนี้ถือเป็นย่านซูโม่จึงมีร้านอาหารที่ขาย Chanko-Nabe เยอะมาก หลายร้านเขาก็ปรับให้คนธรรมดาอย่างเราๆทานได้ ปริมาณไม่ได้มโหฬารอย่างนักซูโม่เขา นอกจากนี้มาทานอาหารในย่านนี้อาจได้เห็นซูโม่ตัวเป็นๆเดินผ่านไปมาหรือนั่งอยู่ในร้านอาหารข้างๆเราก็เป็นได้นะ ญี่ปุ่นเป็นเมืองท่องเที่ยวที่งดงาม