วิธีไปดูซูโม่ที่ญี่ปุ่นวิธีไปดูซูโม่ที่ญี่ปุ่น

แนะนำวิธีการไปดูซูโม่ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การจองตั๋ว เวลาแข่ง สถานที่แข่ง ที่นั่ง มารยาท กิจกรรมที่น่าสนใจในสนามซูโม่ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับซูโม่ บรรยากาศรอบสนามซูโม่และสิ่งที่น่าทำในวันที่ไปดูซูโม่

ซูโม่คืออะไร
“ซูโม่” คือหนึ่งในกีฬาญี่ปุ่นแท้ๆที่คนชอบอะไรญี่ปุ่นๆ ควรจะลองไปดูซักครั้ง นอกจากจะเป็นกีฬาที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,500 ปีแล้ว ยังมาพร้อมกับเอกลักษณ์มากมายที่หาชมในกีฬาอื่นไม่ได้ ตั้งแต่การแต่งกาย ทรงผม และวิถีชีวิตของนักซูโม่เองก็เป็นสิ่งน่าสนใจไม่แพ้การแข่งขัน รวมถึงพิธีกรรมก่อนและหลังแข่ง เนื่องจากซูโม่ไม่ได้เป็นแค่กีฬาที่แข่งเอาแพ้ชนะ แต่ยังมีความหมายในทางศาสนาและวัฒนธรรมอื่นๆที่แฝงมาด้วย ทำให้เป็นกีฬาที่มีประเพณีแฝงมาให้ชมเยอะพอสมควร ไม่ได้มีให้ดูแค่ผลแพ้ชนะเท่านั้น
กฏกติกามารยาทของการแข่งซูโม่นั้นจริงๆแล้วง่ายดายเอามากๆ การตัดสินแพ้ชนะกันมีกฏแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
1 ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้มลงบนพื้นได้
2 ทำให้อวัยวะส่วนอื่นนอกเหนือจากเท้าแตะพื้นได้
3 ทำให้ร่างกายคู่ต่อสู้ออกจากลานแข่งขันได้

jumbo jili

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้การตัดสินแพ้ชนะของซูโม่ทำได้ในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น คนที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยดูซูโม่มาก่อนอาจมองว่าเป็นกีฬาที่ไม่มีอะไรดูเพราะจบอย่างรวดเร็ว แต่เราขอแนะนำว่าการไปดูซูโม่นั้น ไม่ได้ดูแค่ผลแพ้ชนะ แต่ไปเพื่อสัมผัสประเพณี พิธีกรรม และบรรยากาศต่างๆที่อยู่รอบๆการแข่งซูโม่ด้วย
ที่สำคัญการแข่งซูโม่ในวันหนึ่งนั้นมีหลายร้อยคู่ ทำให้สนุกได้ยาวๆ ตื่นเต้นได้ตลอดวัน อย่างคู่ที่เก่งๆนั้นก็แข่งกันได้สนุกแบบที่คุ้มค่าแม้คู่นึงจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เทคนิคต่างๆที่น่าสนใจ หากนั่งดูให้ดีก็จะเห็นว่ามีการโจมตีที่สามารถใช้ได้มากมาย ไม่ได้ใช้แค่พลังและน้ำหนักกดอีกฝ่าย แต่ยังมีการโต้กลับ การหลอกล่อ การใช้แรงของอีกฝ่ายให้เป็นประโยชน์ ทุกครั้งนักซูโม่ที่ตัวเล็กล้มนักซูโม่ที่ตัวใหญ่กว่าได้กองเชียร์ในสนามจะโห่ร้องกึกก้อง เป็นบรรยากาศที่น่าไปสัมผัสด้วยตัวเอง

ในหนึ่งวันซูโม่จะมีแข่งครบทุกระดับไล่จากระดับล่างสุดจนสูงสุด นักซูโม่แทบทุกคนจะได้มาแข่ง 1 แมตช์แน่ๆทุกวัน ยกเว้นคนที่ได้พัก โดยในแต่ละวันที่มีแข่งก็จะเริ่มแข่งตั้งแต่ประมาณแปดโมงครึ่งในยามเช้า ซึ่งเริ่มจาก Banzukegai ไล่ไปเรื่อยๆ โดยระดับล่างๆที่แข่งในตอนเช้านั้นแทบจะไม่มีคนดู ส่วนระดับที่ยิ่งสูงก็จะยิ่งมีคนเข้ามาดูมากขึ้น แฟนซูโม่ตัวจริงส่วนใหญ่จะนั่งติดเก้าอี้ตั้งแต่ประมาณบ่ายสอง (ช่วงที่ระดับ Juryo เริ่มแข่ง) ไปจนจบการแข่งของ Makuuchi ประมาณหกโมงเย็น ถ้าคุณอยากไปชมนักซูโม่เก่งๆเป็นหลักก็ไม่จำเป็นต้องมาแต่เช้าก็ได้ แต่แนะนำให้มาตั้งแต่ประมาณระดับ Juryo แข่ง

สล็อต

ซูโม่แข่งกันที่ไหนเมื่อไหร่
การแข่งขันซูโม่ในญี่ปุ่น ไม่เหมือนกับลีกกีฬาใหญ่ๆอย่างเช่นฟุตบอล ที่จะแบ่งรอบตามฤดูกาลหรือรอบเวลาของปีๆละรอบ แต่ซูโม่จะแบ่งออกเป็นรอบเล็กๆซึ่งปีนึงมีแข่งถึง 6 รอบ และหนึ่งรอบใช้เวลาแข่งแค่สิบห้าวันเท่านั้นก็รู้ว่าใครเป็นแชมป์

ทั้งหกรอบจะจัดกันคนละเวลาและคนละสถานที่ เดือนที่จัดก็คือเดือน 1, 3, 5, 7, 9, 11 โดยในหกครั้งนี้ สามครั้งแข่งที่โตเกียว และที่เหลือแบ่งกันจัดที่โอซาก้า นาโกย่า และฟุกุโอกะ เมืองละหนึ่งครั้ง
เดือน 1, 5, 9 สามครั้ง แข่งที่โตเกียว
เดือน 3 แข่งที่โอซาก้า
เดือน 7 แข่งที่นาโกย่า
เดือน 11 แข่งที่ฟุกุโอกะ
โดยการแข่งซูโม่แต่ละรอบซึ่งจะใช้เวลาสิบห้าวันนั้น ในแต่ละวันก็มักจะมีการแข่งให้ดูเป็นร้อยๆคู่โดยไล่ตั้งแต่นักซูโม่ระดับล่างสุดไปจนระดับบนสุดเลย นักซูโม่ในวงการแทบทุกคนจะมีตารางได้ลงแข่งหนึ่งแมตช์ในทุกๆวัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเลือกไปดูวันที่เท่าไหร่ก็สามารถดูนักซูโม่ดังฝีมือดีได้

สล็อตออนไลน์

สถานที่ดูซูโม่ในญี่ปุ่น
หลังจากเลือกเดือนที่จะไปชมได้แล้ว ก็ต้องเลือกสถานที่ๆจะไปให้ตรงตามที่จัด
สำหรับการแข่งขันทั้งสามรอบของโตเกียวนั้น จะแข่งที่เดียวกันทั้งหมดคือที่ Ryogoku Kokugikan
การแข่งขันที่โอซาก้าจัดขึ้นที่ Osaka Prefectural Gymnasium (Edion Arena Osaka)
การแข่งขันที่นาโกย่าจัดขึ้นที่ Aichi Prefectural Gymnasium
การแข่งขันที่ฟุกุโอกะจัดขึ้นที่ Fukuoka Kokusai Center

สนามแข่งซูโม่เรียวโกคุเป็นสถานที่แข่งซูโม่ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในวงการซูโม่ญี่ปุ่น ทั้งในเรื่องของประวัติศาสตร์และความน่าสนใจของตัวสถานที่เอง รวมถึงสิ่งต่างๆที่มีให้ทำมากมายนอกจากการดูซูโม่
นอกจากจะเป็นสนามที่มีการแข่งขันบ่อยที่สุดแล้ว ยังเป็นเหมือนกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าคนรักซูโม่อีกด้วย เพราะประวัติศาสตร์ต่างๆเกี่ยวกับซูโม่ก็มักจะผูกอย่กับที่แห่งนี้ นอกจากนี้ รอบๆก็ยังเป็นที่รวมค่ายนักซูโม่ที่เยอะที่สุดในญี่ปุ่น ห้างร้านต่างๆมากมายที่ขายอาหารเพื่อนักซูโม่ ร้านที่ขายขนมของฝากเกี่ยวกับซูโม่ และถนนสายประวัติศาสตร์ สวนที่ระลึก หรือรูปปั้นต่างๆเกี่ยวกับฮีโร่นักซูโม่ในอดีตอีกหลายแห่ง

jumboslot

สนามแข่งซูโม่ Ryogoku Kokugikan สามารถเดินทางไปได้โดยรถไฟสาย JR Chuo-Sobu Line หรือรถไฟใต้ดินสาย Toei Oedo Line ไปลงที่สถานี Ryogoku จากสถานีเดินไปจนถึงสนามไม่ไกล และถ้าเป็นวันที่มีแข่งจะมีกิจกรรมต่างๆให้ดูมากมาย เช่นตลาดนัดเล็กๆริมถนนที่มีเอกลักษณ์ตรงธงสีสันหลากหลาย มีของกินของฝากเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับซูโม่ให้เลือกซื้อมากมาย และตามทางเดินริมถนนก็มักจะมีคนจำนวนมากมายืนรอดูนักซูโม่ เหมือนกับสื่อบันเทิงมายืนรอดูดาราเดินพรมแดงที่งานแจกรางวัลลูกโลกทองคำยังไงยังงั้น ถือว่าเป็นบรรยากาศที่หาไม่ได้ถ้าไม่มาที่สนามแห่งนี้ด้วยตัวเองซักครั้ง
อธิบายอย่างสั้นๆและจำง่ายที่สุดก็คือ เช้าคนน้อย บ่ายคนเยอะ ถ้าอยากเดินรอบๆสนามเพื่อถ่ายรูป ให้รีบไปเช้าๆ แต่ถ้าอยากเชียร์นักซูโม่เก่งๆ ดังๆ ระดับสูงๆ ให้ไปตอนบ่าย

ตั๋วซูโม่หนึ่งใบนั้นสำหรับหนึ่งวัน เมื่อเราซื้อแล้วสามารถอยู่ในสนามได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น และการแข่งขันในหนึ่งวันของซูโม่นั้นจะมีจัดแข่งทุกระดับ พูดง่ายๆคือนักซูโม่แทบทุกคนจะมีตารางต้องลงแข่งยกเว้นคนที่ได้พัก โดยไล่จากระดับล่างสุดในตอนเช้า ไปจบที่ระดับสูงสุดในเวลาประมาณหกโมงเย็น
ถ้าใครไปดูตั้งแต่เช้าจะพบว่านักซูโม่ที่แข่งอยู่เป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าบางคนตัวยังไม่ใหญ่ด้วย เพราะว่าตอนเช้าเป็นเวลาของนักซูโม่หน้าใหม่นั่นเอง และสนามแข่งก็จะยังเต็มไปด้วยเก้าอี้ที่ว่างเพราะคนส่วนใหญ่มักเลือกจะเริ่มมาชมรอบบ่ายๆ ที่นักซูโม่ดังๆเริ่มลงแข่ง

ในภาพด้านบนถ่ายตั้งแต่เช้าประมาณ 9-10 โมง จะเห็นว่าแม้แต่ที่นั่งสีเขียวใกล้ขอบสนาม ซึ่งเป็นที่นั่งที่ดีและแพงที่สุดที่แฟนพันธ์แท้จะจองกันจนเต็มเสมอ (เรียกว่า ทามาริเซกิ) ก็ยังไม่มีคนมานั่งดู เพราะว่ารอบเช้าๆนั้นยังไม่น่าสนใจเท่ารอบบ่ายนั่นเอง

slot

มารยาทระหว่างชมซูโม่
มารยาทไม่ยาก หลักๆคือเหมือนกับการไปคอนเสิร์ตหรือการชมกีฬาอื่นๆนั่นเอง แต่จะเพิ่มเติมความเข้มงวดขึ้นมาในเรื่องของที่นั่งและการไม่รบกวนผู้อื่น

  1. สำหรับผู้คนในทุกที่นั่ง สามารถกินดื่มได้ตามปกติหากรักษาความสะอาดและไม่รบกวนที่นั่งข้างๆ
  2. ไม่ควรยืนขึ้นระหว่างการแข่งเพราะจะบังคนที่อยู่ข้างหลัง
  3. สำหรับที่นั่งชั้นดีที่สุดที่เรียกว่า ทามาริเซกิ (Ringside) เป็นที่นั่งที่ใกล้กับเวทีที่สุดและเป็นที่นั่งแบบนั่งพื้นทั้งหมด หากจะจองที่นั่งตรงนี้ต้องระวังเรื่องมารยาทของตนเองมากเป็นพิเศษด้วย แม้จะแพงกว่าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสบายกว่า อะไรๆก็อาจจะลำบากกว่าเดิมได้ก่อนจองจึงต้องระวัง
    สิ่งที่ลำบากกว่าที่นั่งราคาถูกก็อย่างเช่น ห้ามกินอาหาร เข้าออกยากมาก ต้องถอดรองเท้า และการนั่งขัดสมาธิยาวๆก็อาจจะเมื่อยสำหรับคนที่ไม่ชิน เป็นต้น ส่วนใหญ่คนที่นั่งตรงนี้จึงเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้น และเราไม่แนะนำสำหรับมือใหม่
  4. ผู้นั่งทามาริเซกิแถวหน้าสุด ต้องระวังนักซูโม่ที่ตกลงจากเวทีมาด้วยตัวเอง (แต่ปกติกรรมการซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้า จะเป็นอดีตนักซูโม่และตัวใหญ่เหมือนกัน จะคอยป้องกันให้) หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

คำศัพท์น่ารู้ของญี่ปุ่น

ในครั้งนี้เราจะมากล่าวถึง10คำศัพท์น่ารู้ของญี่ปุ่นที่ยังใช้กันประจำ ซึ่งบางคำอาจมีเค้าโครงเดิมจากอดีตกันบ้างหรืออาจเป็นคำใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันแล้วพบเห็นได้ทั่วไปทั้งในการทำงาน การท่องเที่ยว และการใช้ชีวิตประจำวัน มาทดสอบกันว่า10ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้คุณรู้จักอยู่กี่คำ
นัตโต (Nattou) 納豆 (なっとう)
ความหมาย = นัตโต คือถั่วเน่า อาหารของญี่ปุ่น
นัตโตหรือถั่วเน่าญี่ปุ่นนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวญี่ปุ่น กินกันทั่วประเทศแต่เป็นที่นิยมตั้งแต่ทางตอนเหนือของคันโตขึ้นไปค่ะ เป็นอาหารซึ่งเกิดจากการนำเอาถั่วไปหมักกับแบคทีเรียดีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Bacillus subtilis ทำให้เกิดลักษณะเม็ดถั่วมีกลิ่นแรง มีเส้นยืดเหนียวๆโดยรอบ เมนูกลิ่นแรงรสอร่อยนี้หากเปรียบเทียบกับอาหารไทยก็คงเหมือนปลาร้าบ้านเรา ที่แม้แต่ชาวไทยเองก็ใช่ว่าทุกคนจะรับประทานได้ ต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วยค่ะ นับว่าเป็นอาหารที่รับประทานยากทั้งสำหรับชาวต่างชาติอย่างเราและชาวญี่ปุ่นเองเลย

โดยทั่วไปแล้วคนญี่ปุ่นมักรับประทานนัตโตกับข้าวสวยร้อนๆพร้อมด้วยโชยุค่ะ หรือนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารอื่นๆเพิ่มเติม เช่นซูชินัตโต ข้าวปั้นนัตโต เป็นต้น แต่สำหรับวิธีรับประทานของมือใหม่นั้นควรทานเคียงกับมัสตาร์ด หัวไชเท้าฝาน และวาซาบิเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และการรับรสบางประการที่อาจทำให้รู้สึกว่ารับประทานนัตโตะได้ยาก จึงจะสามารถทำให้รับประทานได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

jumbo jili

โออิชี่ (Oishii) 美味しい (おいしい)
ความหมาย = อร่อย
โออิชี่เป็นคำพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นและอุทานหรือบรรยายถึงรสชาติอาหารอร่อย ถ้าพิจารณาจากตัวคันจินั้น โออิชี่จะมาจากการประกอบคำว่า 美 (บิ) ที่แปลว่างดงามสวยงาม และ 味 (อะจิ) ที่แปลว่ารสชาติ พอรวมกันมักจะอ่านได้ว่า บิมิ
ส่วนการออกเสียงว่า โออิชี่ มาจาก 美し (อิชิ) ซึ่งอดีตแปลว่าสวยงาม แต่หลังจากยุคเอโดะเป็นต้นมา คำนี้ถูกใช้ในการชมว่าอาหารอร่อยด้วย (แต่เป็นคำสำหรับผู้หญิงเป็นหลัก) โดยใช้ในการพูดถึงรสชาติอาหารอร่อยที่ตนได้สัมผัสเอง ตามสมัยนิยมจึงได้มีการลากเสียงยาม เติมอิลงท้ายแบบภาษาพูดของผู้หญิงญี่ปุ่น กลายเป็นคำว่า いしい (อิชี่) นำมาเติม お (โอ) ซึ่งปกติใช้วางหน้าคำที่ต้องการยกย่องให้มีความสุภาพหรือเป็นทางการยิ่งขึ้น กลายเป็นคำว่า おいしい (โออิชี่) ที่มีความหมายทางการในการใช้ทั่วไป
แต่ใช่ว่าจะมีแต่คำว่าโออิชี่ที่แปลว่าอาหารรสชาติอร่อยเพียงแค่คำเดียวนะ ยังมีอีกคำที่ออกไปทางภาษาพูดเสียมากกว่าที่มีความหมายตรงกัน คือคำว่า “うまい อุไม” เป็นคำสบายๆที่เป็นทางการน้อยกว่า
ตัวอย่างประโยค = ラーメンが美味しかったです。(ramen ga oishikatta desu) ราเมงอร่อยมากค่ะ
อิคิไก (Ikigai) 生き甲斐 (いきがい)ความหมาย = อิคิไก คือ หลักในการดำเนินชีวิตแบบหนึ่งของคนญี่ปุ่น
อิคิไกเป็นอีกหนึ่งหลักการในการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่งของคนญี่ปุ่นค่ะ พื้นฐานมาจากคำว่า 生き (อิคิ) ที่แปลว่าชีวิตหรือการใช้ชีวิต และคำว่า 甲斐 (ไก) ที่แปลว่าเหตุผล เมื่อนำสองคำนี้รวมกันจึงอาจแปลได้ว่า เหตุผลของการใช้ชีวิตหรือเหตุผลของการมีชีวิตนั่นเอง

สล็อต

โดยพื้นฐานความคิดหลักอิคิไกนั้นคือการใช้ชีวิตของตนเองตั้งแต่ลืมตาตื่นมาในตอนเช้าให้มีความสุขในทุกๆวัน ซึ่งเป็นพิจารณาตั้งคำถามแล้วตอบตนเองจาก4องค์ประกอบหลักว่า
1 อะไรคือสิ่งที่คุณทำได้อย่างดี ในขณะเดียวกันก็ทำให้คุณความสุขที่จะทำด้วย?
2 อะไรคือสิ่งที่โลกต้องการแล้วคุณเองก็มีความสุขที่จะกระทำ?
3 อะไรคือสิ่งที่สร้างประโยชน์(เงิน)ให้กับเรา แล้วโลกก็ยังคงต้องการ?
4 อะไรคือคือสิ่งที่เราทำได้ดี แล้วก็สร้างรายได้ให้กับเราด้วย?
หากคุณตอบคำถามดังกล่าวแล้วขาดประเด็นใดไป ก็ถือว่าคุณยังปฏิบัติได้ไม่ครบตามหลักแนวคิดของอิคิไกนะ

คำถามจากแนวคิด4องค์ประกอบนี้คนญี่ปุ่นนำไปปรับใช้ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในการวางแผนชิวิตและการทำงานซะเยอะ และมักแทรกซึมมาเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานในบริษัทญี่ปุ่นด้วย เช่น ทำอย่างไรให้ทำงานแล้วมีความสุขและบริษัทเองก็ได้รับประโยชน์ด้วย
หากใครได้ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น รับรองได้ว่าคุณจะพบกับบุคคลไม่น้อยเลยที่รู้จักคำว่าอิคิไก หรือนำหลักอิคิไกมาใช้ในการทำงาน

ฮานามิ (Hanami) 花見 (はなみ)
ความหมาย = ฮานามิ คือ เทศกาลชมดอกไม้และซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ฮานามิมาจากคันจิสองคำที่รวมกันคือ 花 (ฮานะ) ที่แปลว่าดอกไม้ และ 見る (มิรุ) ที่แปลว่าดูหรือมอง หากนำสองคำนี้มารวมกันอาจแปลได้ว่าการชมดอกไม้ ไม่ใช่ซากุระอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ในหลายกรณีก็จะหมายถึงซากุระเป็นหลัก

สล็อตออนไลน์

เนื่องจากฮานามิถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ช่วงรอยต่อสมัยนาระถึงสมัยเฮอัน (ประมาณตอนปลายศตวรรษที่ 8 ถึงต้นศตวรรษที่ 9) เป็นกิจกรรมของขุนนางเป็นหลัก และด้วยปัจจัยหลากหลายด้านทำให้ดอกซากุระกลายเป็นดอกไม้หลักที่ชมกันในงานฮานามิ เพราะสมัยก่อนนั้นต้นซากุระจะปลูกแค่เพียงในพระราชวังกับบ้านขุนนางเท่านั้น (เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงฐานะตระกูลในสมัยก่อน)

แต่กว่าจะมาเป็นดอกซากุระให้เราชมทั่วเมืองได้แบบทุกวันนี้ ต้องผ่านการพัฒนาและปรับปรุงสายพันธ์อย่างหนัก (สายพันธ์โซเมอิโยชิโนะที่เราเห็นกันมากที่สุดนั้่น จริงๆเพิ่งเกิดมาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น) แถมช่วงปลายเอโดะยังมีการเผาทำลายซากุระเพราะถือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจขุนนางอีกด้วย ทำให้มีช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ซากุระลดจำนวนลงบ้าง
ในปัจจุบัน คุณค่าอีกด้านที่จับต้องได้สำหรับการชมซากุระคือการได้ไปทำกิจกรรมชมดอกไม้กันทั้งครอบครัวหรือคนที่รัก ได้ใช้เวลาดีๆในช่วงเวลาที่ดีใต้ต้นดอกซากุระนั่นเอง เทศกาลการชมดอกซากุระจึงมีความหมายมากกว่าแค่การไปชื่นชมดอกไม้ที่ผลิบาน

โอโมะเตะนาชิ (Omotenashi) おもてなし
ความหมาย = โอโมะเตะนาชิ คือ วิถีการบริการด้วยใจสไตล์ญี่ปุ่น
สำหรับคนที่ทำงานด้านต้อนรับ ทั้งงานบริการ งานร้านอาหาร หรือโรงแรม อาจจะคุ้นหูกับคำนี้อยู่บ้าง เพราะโอโมเตะนาชิคือหลักการบริการด้วยใจแบบญี่ปุ่นที่เป็นหัวใจหลักในการทำงานด้านบริการเลย ซึ่งเป็นมารยาททางธุรกิจบริการที่ควรทราบอย่างยิ่ง โดยมีหัวใจหลักในการทำงานง่ายๆคือการต้อนรับและดูแลลูกค้าเสมือนเขาเป็นญาติมิตรหรือคนในครอบครัว

jumboslot

ของเราอย่างจริงใจ ซึ่งแตกต่างการบริการลูกค้าทั่วไปที่มองว่าลูกค้าคือพระเจ้า (ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง)
เราต้องการได้บริการแบบใดกับตนเอง ก็ให้เสนอการบริการแบบเดียวกันให้กับลูกค้า ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยที่อาจสร้างปัญหาขณะที่ลูกค้าใช้บริการได้ แล้วอำนวยความสะดวกกับลูกค้าแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย ให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ นำมาสู่การกลับใช้บริการครั้งต่อไป

มังงะ (Manga) 漫画 (まんが)
ความหมาย = มังงะ คือ คำเรียกการ์ตูนแบบญี่ปุ่นแบบที่ต้องใช้การอ่านรับเรื่องราว
มังงะเป็นคำที่ไว้เรียกการ์ตูนแบบญี่ปุ่น ไม่ว่าจะลายเส้นมนหรือคม ทั้งแบบสีสดใสหรือขาวดำ แต่จะมีลักษณะที่ตรงกันคือจะมี การแบ่งช่องตอนของเรื่องราวชัดเจน มีบอลลูนคำพูดที่เป็นเอกลักษณ์งานวาดแบบญี่ปุ่น และที่สำคัญคือต้องเป็นสื่อการ์ตูนเล่มๆ ที่เราต้องอ่านเองเท่านั้นนะจึงจะนับว่าเป็นมังงะ การ์ตูนทีวีไม่นับ
หลายคนอาจมองว่ามังงะเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก แต่จริงๆแล้วมังงะมีหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แนวตลก ความรัก กีฬา วัฒนธรรม เสียดสีการเมือง ฯลฯ ลบความคิดที่ว่ามังงะเหมาะสมกับเด็กเท่านั้นไปได้เลย

นอกจากมังงะจะส่งผลต่อความชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้ว ยังมีผลต่ออุตสากรรมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น อุตสาหกรรมผลิตสื่อญี่ปุ่น (ทั้งการ์ตูนและอื่นๆ) รวมถึงระบบการศึกษาของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยสถานศึกษาหลายแห่งของญี่ปุ่นก็มีคณะและสาขาเกี่ยวกับการวาดมังงะเกิดขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งอาชีพเกี่ยวกับมังงะเองก็มีอัตราการแข่งขันพอสมควรทั้งจากนักเรียนญี่ปุ่นเองรวมถึงนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างชาติ

ด้วยหลากหลายเหตุผลที่กล่าวมานี้เอง มังงะถึงเป็นที่นิยมตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นเองและชาวต่างชาติ ตัวอย่างมังงะยอดนิยมอย่างเช่น ONE PIECE หรือ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน การ์ตูนดังทั้งสองเรื่องยาวที่ไม่รู้จะจบที่เมื่อไหร่เป็นต้น

ซึนเดเระ (Tsundere) ツンデレ (つんでれ)​
ความหมาย = ซึนเดเระ คือ คำที่ไว้เรียกคนที่มีลักษณะปากไม่ตรงกับใจ หรือบุคลิกภายในและภายนอกขัดแย้งกัน
ถ้าใครชอบการ์ตูน ต้องรู้ความหมายของคำนี้แน่ๆ
ใครเคยโดนหาว่าเป็นคนซึนหรือซึนเดเระบ้างคะ? สำหรับคำว่าซึนเดเระนี้มาจากการรวมคำว่า ツンツン (ซึนซึน) ที่แปลว่าร้ายกาจ โมโหร้าย และ デレデレ (เดเระเดเระ) ที่แปลว่าอ่อนหวานหรืออ่อนไหว นำมารวมกันกล่าวถึงบุคลิกของคนที่ปากไม่ตรงกับใจ หรือบุคลิกที่แสดงออกมาแข็งกร้าวไม่เป็นมิตรนักแต่แท้จริงแล้วจิตใจภายในปรารถนาดีแถมอ่อนไหวด้วยซ้ำ
เป็นคำที่เกิดจากความนิยมในตัวละครของมังงะและอนิเมะ ที่มักพบตัวละครที่มีบุคลิกซึนเดเระได้มากมาย แต่เป็นอีกหนึ่งคำที่ฮิตขึ้นมาจากการ์ตูนแต่บางทีก็ถูกนำกลับมาใช้กับบุคคลทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งการนำคำนี้ไปใช้นั้นต้องระมัดระวังเพราะเป็นคำที่ไปได้ทั้งสองทาง อาจจะดูเหมือนเอ็นดูผู้ที่ถูกเรียก หรืออาจกลายเป็นคำแง่ลบ กล่าวหาผู้ถูกเรียกก็ได้ และที่สำคัญคือ เนื่องจากเป็นคำใหม่ แม้แต่คนญี่ปุ่นเองบางคนก็ยังไม่มั่นใจว่าแปลว่าอะไร

slot

โนมิไค (Nomikai) 飲み会 (のみかい)
ความหมาย = โนมิไค คือ คำเรียกการไปดื่มกัน และงานเลี้ยงพบปะกันแบบญี่ปุ่น
โนมิไคหรืองานเลี้ยงพบปะกันแบบญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นที่บางทีชาวต่างชาติอาจเกิดความสับสนกับงานเลี้ยงฉลองทั่วไปค่ะ
โนมิไคเป็นงานเลี้ยงที่ไม่ใช่งานเลี้ยงครั้งใหญ่ในวันสำคัญ แต่เป็นงานเลี้ยงกินดื่มที่มีจุดประสงค์ในการพบปะ สังสรรค์กับเพื่อนทั่วไป คุยกันแลกเปลี่ยนความคิด ละลายพฤติกรรม รวมถึงคุยเรื่องงานก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการนัดพบปะกันของผู้นัด สามารถนัดได้ในวันธรรมดาทั่วไปหลังเลิกงาน

ถึงโนมิไคจะดูไม่เป็นทางการมาก แต่ถ้าเมมเบอร์เป็นผู้ใหญ่ หรือจัดโดยบริษัท ก็จะมีมารยาทในการกินดื่มเยอะเหมือนกันนะ
อย่างเช่น มารยาทพื้นฐานการทักทายกันหรือการที่ผู้นัดต้องมาครบกันก่อนถึงเริ่มงาน หากเป็นโนมิไคที่จัดกับเพื่อนกันเองคงไม่ซีเรียส แต่สำหรับโนมิไคที่จัดในนามของบริษัท หรือมีหัวหน้าอยู่ด้วย ผู้น้อยหรือลูกน้องก็อาจจะต้องเอนเตอร์เทนต์แล้วคอยบริการผู้ใหญ่ของงานทั้งหมด (ทั้งนี้แล้วแต่ความเคร่งของบริษัทด้วย บริษัทที่จะไม่คุยเรื่องงานเลยในโนมิไคก็มี) หรือหากมีธุระสำคัญที่ต้องคุยกันก็ต้องคุยหลังจากอาหารหมดไปแล้วซัก 2ใน3 ส่วนเป็นต้น

ข้อควรระวังหากชวนกันไปกินดื่ม หากมีเอี่ยวกับเรื่องงานก็ไม่ควรดื่มหนักจนไม่ได้สติ หรือแพ้อาหารเครื่องดื่มแบบใดก็ควรบอกกล่าวกันก่อนเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตนะคะ
หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

แนะนำที่เที่ยวที่เป็น “ที่สุดในโลก” ในญี่ปุ่น

แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศญี่ปุ่นถือว่ามีความหลากหลายและน่าสนใจมากมาย สำหรับสถานที่ที่จะแนะนำในครั้งนี้ก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกหรือเป็นที่สุดในโลกที่มีความแปลกใหม่ น่าสนใจ นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วไป โดยได้คัดเลือกความเป็นที่สุด 5 อย่างกับสถานที่ท่องเที่ยวมาแนะนำดังต่อไปนี้

  1. สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge) สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก
    สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge) หรือสะพานไข่มุก คือสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกโดยมีความยาวทั้งหมดรวม 3,991 เมตร ความยาวช่วงกลางสะพาน 1,991 เมตร ความสูงของหอคอยสะพานประมาณ 300 เมตร ประกอบด้วยถนน 6 เลน เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1998 เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างเมืองโกเบ (Kobe) และเกาะอาวาจิ (Awaji Island) ในจังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo) ที่ช่องแคบอะกาชิ (Akashi Strait) เข้าด้วยกันและยังเป็นเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อเกาะฮอนชูกับเกาะชิโกกุให้เดินทางสะดวกสบายมากขึ้นผ่านทางด่วนโกเบ-อาวาจินารุโตะ (Kobe-Awaji-Naruto Expressway) ไปยังจังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) ในภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku) ด้วย

jumbo jili

สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ : ชมบรรยากาศรอบๆ สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge), จังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo)
ที่บริเวณสะพานอาคาชิไคเคียวมีจุดท่องเที่ยวและชมทิวทัศน์ของสะพานที่น่าสนใจ เช่น Maiko Marine Promenade หรือทางเดินสำหรับชมวิวบนความสูงประมาณ 47 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมีทางเดินความยาวประมาณ 317 เมตร ยื่นออกไปสู่ช่องแคบอาคาชิ ไฮไลท์คือพื้นทางเดินบางส่วนเป็นกระจกใสจึงเห็นคลื่นทะเลได้อย่างชัดเจน หรือถ้าต้องการเรียนรู้เรื่องราวการก่อสร้างสะพานก็จะมีศูนย์จัดแสดงแบบจำลองของสะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge Exhibition Center) ที่ภายในมีการนำเสนอเรื่องราวเทคโนโลยีการเชื่อมโยงสร้างสะพานระดับสูงที่สุดในโลกและการสร้างสะพานอาคาชิไคเคียวมาไว้ให้ได้เรียนรู้ผ่านนิทรรศการจำลอง จากนั้นก็ไปเดินเล่นชมวิวต่อที่สวนไมโกะ (Maiko Park) สวนสาธารณะบริเวณใต้สะพานฝั่งโกเบที่เหมาะกับการพักผ่อนสบายๆ โดยเฉพาะในช่วงค่ำสามารถชมการเปิดไฟประดับสะพานอาคาชิไคเคียวได้ด้วย

  1. โตโยต้า (Toyota) แบรนด์รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    โตโยต้า (Toyota) คือแบรนด์รถยนต์ของประเทศญี่ปุ่นที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะในประเทศไทยรถยนต์โตโยต้าก็ทำยอดขายอันดับ 1 ติดต่อกันมาหลายปี โตโยต้าได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก่อตั้งโดย คิอิจิโร โทโยดะ ในปี ค.ศ. 1937 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโทโยตะ (Toyota) จังหวัดไอจิ (Aichi) ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมาโตโยต้ากลายเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยจากวัดตามจำนวนคันที่ผลิตซึ่งในปีนั้นโตโยต้ารายงานว่าได้ผลิตรถยนต์คันที่ 200 ล้านนับแต่ก่อตั้งบริษัท ถือว่าเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีกำลังการผลิตรถยนต์เกิน 10 ล้านคัน/ปี และโตโยต้าก็ยังมีรายได้จากผลประกอบการมากที่สุดในญี่ปุ่นด้วย สำหรับรถยนต์ที่ผลิตโดยโตโยต้าก็มีหลากหลายประเภท อาทิ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล, รถมินิบัส, รถบรรทุก เป็นต้น สำหรับใครที่สนใจประวัติความเป็นมาของโตโยต้าก็สามารถไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของโตโยต้าในหลายๆ แง่มุมที่จังหวัดไอจิได้

สล็อต

พิพิธภัณฑ์รถยนต์โตโยต้า (Toyota Automobile Museum) คือส่วนหนึ่งของการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 50 ปี โตโยต้าและเฉลิมฉลอง100ปีของประวัติศาสตร์รถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมัน เมื่อปี ค.ศ. 1989 จุดเด่นคือทางเข้ารูปตัว T สีแดงโดดเด่นเป็นสง่า ภายในมีการจัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาทั้งของรถยนต์โตโยต้าและรถยนต์รอบโลก โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 อาคารหลักๆ อาคารหลังแรกหรือเมนฮอลล์จะเป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศกาลกำเนิดรถยนต์ในเชิงประวัติศาสตร์กับวัฒนธรรมตลอดจนวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีของรถยนต์ สำหรับอาคารอีกหลังหรือเรียกว่าอาคารใหม่ก็จะเน้นการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รถยนต์ในญี่ปุ่นโดยเฉพาะโตโยต้า นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดนิทรรศการพิเศษในแต่ละช่วงเวลารวมถึงอีเวนท์ต่างๆ ตลอดปี อาทิ เทศกาลแสดงรถยนต์วินเทจ มีห้องสมุดหนังสือภาพยานพาหนะในยุคสมัยต่างๆ เป็นต้น

  1. อาโอโมริ (Aomori) หนึ่งในเมืองที่หิมะตกหนักที่สุดในโลก
    อาโอโมริ (Aomori) คือจังหวัดหนึ่งของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเกาะฮอนชู ด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ซึ่งอยู่ในเขตมหาสมุทรกับความสูงของภูเขาและความใกล้ชิดกับอากาศเย็นจากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนืออีกทั้งยังหันหน้าไปทางฮอกไกโด (Hokkaido) โดยมีช่องแคบสึการุ (Tsugaru) คั่นกลาง และภูเขาโออุ (Mt.Ou) ที่พาดผ่านจากทางเหนือจรดใต้ ซึ่งส่งผลให้เกิดภูมิอากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างฝั่งตะวันออกกับตะวันตก ทำให้มีปริมาณหิมะตกมากในทะเลฝั่งประเทศญี่ปุ่นรวมถึงพื้นที่จังหวัดอาโอโมริ ในฤดูหนาวของแต่ละปีจะมีปริมาณหิมะตกทับถมสูงเฉลี่ยราวๆ 8 เมตร (อ้างอิงจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น) และเป็นหนึ่งในเมืองที่หิมะตกหนักที่สุดในโลก (อ้างอิง AccuWeather) ดังนั้นหากจะไปเที่ยวอาโอโมริเพราะอยากเจอหิมะช่วงฤดูหนาวก็จะมีงานเทศกาลหิมะที่จัดขึ้นให้ได้เที่ยวชมและมีโอกาสได้สัมผัสกับหิมะอย่างแน่นอน

สล็อตออนไลน์

สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ : ภูเขาฮักโกดะ (Mt.Hakkoda) , จังหวัดอาโอโมริ (Aomori)
ภูเขาฮักโกดะ (Mt.Hakkoda) มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลราวๆ 1,585 เมตร ถือเป็นจุดที่มีหิมะตกทับถมหนักแห่งหนึ่งในอาโอโมริ (Aomori) และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในฤดูหนาวที่มีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมายโดยเฉพาะเทศกาลหิมะและการชมปีศาจหิมะ (Ice Monster หรือจุเฮียว Juhyo) ซึ่งก็คือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากหิมะตกหนักทับถมใส่ต้นสนบนภูเขาแห่งนี้จนทำให้มองดูคล้ายปีศาจ สำหรับใครที่ชอบอากาศหนาวและหิมะถ้ามีโอกาสมาเยือนที่นี่สักครั้งในบางวันก็จะได้สัมผัสอุณหภูมิบนยอดเขาอยู่ที่ -20 องศาเซลเซียส โดยการไปชมวิวปีศาจหิมะ บนยอดเขาฮักโกดะจะต้องนั่งกระเช้าโรปเวย์ขึ้นไป ระหว่างที่เดินทางก็จะมีหิมะโปรยปรายท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติให้ได้ชื่นชมอีกด้วย
การเดินทาง : จากสถานีอาโอโมริ (JR Aomori Station) นั่งรถบัส JR Bus ไปได้ถึงสถานีกระเช้าฮักโกะ (Hakkoda Ropeway Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

  1. Steel Dragon 2000 รถไฟเหาะระยะทางยาวที่สุดในโลก
    ญี่ปุ่นมีสวนสนุกหลายแห่งและมีรถไฟเหาะที่ได้รับความสนใจระดับโลกในหลายๆ สวนสนุกด้วยเช่นกัน สำหรับรถไฟเหาะสตีลดรากอน 2000 (Steel Dragon 2000) ในสวนสนุกนากาชิมะ สปา แลนด์ (Nagashima Spa Land) จังหวัดมิเอะ (Mie) ก็เป็นรถไฟเหาะระดับแนวหน้าของโลกที่ได้รับการรับรองจากกินเนสบุ๊ค (Guinness Book of World Records) ให้เป็นรถไฟเหาะที่ยาวที่สุดในโลกกับระยะทางยาวทั้งหมด 2,479 เมตร อีกทั้งรถไฟเหาะนี้จะมีการไต่ระดับขึ้นไปสู่ความสูงที่สุดถึง 97 เมตรและทิ้งดิ่งลงมา 68 องศา ใช้เวลา 5 นาทีต่อหนึ่งรอบ อีกทั้งรถไฟเหาะรุ่นล่าสุดในปัจจุบันจะมีลักษณะที่นั่งติดกับตัวรถโดยไม่มีอะไรมากั้นไว้ สามารถยืดแขนยืดขาสัมผัสกับความรู้สึกอิสระขณะนั่งรถไฟเหาะได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว

jumboslot

สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ : นากาชิมะ สปา แลนด์ (Nagashima Spa Land), จังหวัดมิเอะ (Mie)
นากาชิมะ สปา แลนด์ (Nagashima Spa Land) คือสวนสนุกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองคุวานะ (Kuwana) จังหวัดมิเอะ (Mie) สามารถเดินทางจากนาโกย่าได้อย่างสะดวก จุดเด่นของที่นี่คือเครื่องเล่นมากมายหลายประเภท นอกจากรถไฟเหาะสตีลดรากอน 2000 (Steel Dragon 2000) ที่ได้กล่าวถึงไปในฐานะรถไฟเหาะระยะทางยาวที่สุดในโลก ก็ยังมีเครื่องเล่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น อะโครแบท (Acrobat) รถไฟเหาะฟลายอิ้งโคสเตอร์แห่งแรกในญี่ปุ่น, พรมเหาะ (Flying carpet), จานร่อน (Frisbee), สระว่ายน้ำจัมโบ้ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น, คิดส์ทาวน์ (Kids Town) ซึ่งเป็นโซนเครื่องเล่นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบริการร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขนม ตลอดจนร้านขายของที่ระลึกต่างๆ อีกด้วย

  1. บราเธอร์เอิร์ท (Brother Earth) ท้องฟ้าจำลองใหญ่ที่สุดในโลก
    บราเธอร์เอิร์ท (Brother Earth) คือชื่อของท้องฟ้าจำลองในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองนาโกย่า (Nagoya City Science Museum) จังหวัดไอจิ (Aichi) ลักษณะเป็นท้องฟ้าจำลองทรงโดมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางด้านใน 35 เมตร ซึ่งได้รับการรับรองจากกินเนสบุ๊ค (Guinness Book of World Records) ให้เป็นท้องฟ้าจำลองที่ใหญ่ที่สุดโลก ภายในท้องฟ้าจำลองประกอบด้วย UNIVERSARIUM Model IX สำหรับผู้ชม 350 ที่นั่งและมีการแสดงเทคโนโลยีแสง สี เสียง เรื่องราวของโลกและอวกาศ เช่นโมเดลดาวเทียม โมเดลเครื่องบิน รวมถึงการบรรยายเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาล ดาราศาสตร์และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับสมจริงมากที่สุดแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังมีการจัดแสดงในธีมต่างๆ ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงฤดูกาลด้วย

slot

สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ : พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองนาโกย่า (Nagoya City Science Museum) ,จังหวัดไอจิ (Aichi)
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองนาโกย่า (Nagoya City Science Musesum) ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนสาธารณะชิราคะวะ (Shirakawa Park) ใจกลางเมืองนาโกย่า ที่นี่ไม่ได้มีแค่ท้องฟ้าจำลองบราเธอร์เอิร์ท (Brother Earth) เท่านั้น แต่ยังมีโซนความรู้ด้านวิทยาศาสตร์แขนงอื่นที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง โดยแบ่งออกเป็น 3 อาคารหลัก ได้แก่ อาคารวิทยาศาสตร์ชีวิต อาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และท้องฟ้าจำลอง สำหรับอาคารวิทยาศาสตร์ชีวิตก็จะเป็นการจัดแสดงเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเซลล์ อวัยวะ สิ่งมีชีวิตในชั้นบรรยากาศ และซากฟอสซิลไดโนเสาร์ เป็นต้น ในส่วนของอาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็จะมีการจัดแสดงพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่เน้นประสบการณ์เรียนรู้จากการปฏิบัติในห้องทดลองด้วยตัวเอง เกิดการมีส่วนร่วมที่ทำให้รู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินและได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน เช่น ห้องทดลองการปล่อยกระแสไฟฟ้า, ห้องแลปห้องแลปทดลองหนาวสุดขั้วกับอุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส ที่ได้รับความนิยมมาก เหล่านี้เป็นต้น คนญี่ปุ่นชอบท่องเที่ยวและถือเป็นวัตธนธรรมกันสืบมา

วิธีแต่งตัวสู้หน้าหนาวที่ญี่ปุ่น

ฤดูหนาวในญี่ปุ่นเป็นฤดูท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากไทย เพราะบ้านเราไม่มีหิมะให้ดู แต่การวางแผนไปเที่ยวฤดูหนาวต้องเตรียมตัวในส่วนของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมเพื่อรับกับความหนาวและหิมะด้วย

แนะนำเรื่องการเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเมื่อต้องไปเที่ยวช่วงฤดูหนาวที่ญี่ปุ่น (หรือแม้แต่ใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง) ซึ่งมีความหนาวเย็นแตกต่างกันตามแต่ละภูมิภาค เพื่อให้เดินทางไปเที่ยวได้อย่างสนุกและปลอดภัย ไม่เป็นหวัดกลับมา

jumbo jili

อุณหภูมิ 16-20 องศาต้นๆ
เป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวมากถ้าไม่มีลม แต่ถ้ามีลมแรงก็อาจจะหนาวได้ มักเป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว หรือกลางฤดูใบไม้ผลิเป็นต้น

สามารถสวมใส่เสื้อผ้าได้ตามปกติ แล้วสวมเสื้อแขนยาว แจ็คเกตบางๆ หรือเสื้อคาร์ดิแกนทับข้างนอกอีกชั้น และเพิ่มกางเกงขายาวก็ได้ แต่สำหรับผู้หญิงถ้าต้องการใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้นแต่ขี้หนาว ก็ให้สวมถุงน่องหรือเลคกิ้งไว้ด้วยเพื่อป้องกันลมและอากาศหนาว แต่อุณหภูมินี้สำหรับคนที่ชินกับอากาศญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเอง ยังถือว่าเป็นอุณหภูมิที่ใส่ขาสั้น กระโปรงสั้นได้

สล็อต

และเนื่องจากอากาศอาจต่างกันมากระหว่างกลางวันกลางคืนในช่วงคาบเกี่ยวที่ยังไม่ใช่ฤดูร้อนจริงๆเช่นกลางใบไม้ผลิ ถึงแม้ตอนกลางวันบางวันจะอยู่ในระดับ 20 องศา แต่กลางคืนของวันเดียวกันก็สามารถลดลงไปถึง 10 องศาได้ จึงต้องระวังในจุดนี้ วางแผนไว้ด้วยว่าจะกลับโรงแรมกี่โมงจะดีที่สุด

อุณหภูมิ 10-15 องศา
ถือว่าเป็นช่วงที่อากาศเริ่มจะหนาวพอสมควรสำหรับคนไทย และจำเป็นต้องมีเครื่องแต่งกายเพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่นมากกว่าแค่ชุดเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว ไม่ว่าจะเป็นฮีทเทคหรือลองจอน ซึ่งเป็นชุดที่ใส่ไว้ชั้นในสุด ทั้งเสื้อและกางเกงผ้าหนาๆหรือกางเกงยีนส์ สวมทับด้วยเสื้อนอกแบบกันหนาว เสื้อโค้ท หรือเสื้อขนเป็ด

และหากจำเป็นก็ควรเตรียมพร้อมด้วยการพกผ้าพันคอ ถุงมือ หมวกไปด้วย อีกทั้งควรสวมถุงเท้าหนาๆกับรองเท้าประเภทหุ้มส้นแบบมิดชิดจะดีกว่ารองเท้าแฟชั่นแบบเปลือยเท้าโดยเฉพาะผู้หญิง

สล็อตออนไลน์

อุณหภูมิ 0-9 องศา
เข้าสู่บรรยากาศของความหนาวอย่างจริงจัง และส่วนใหญ่ในแต่ละวันสภาพอากาศจะเป็นอุณหภูมิเลขตัวเดียวจนถึงติดลบในตอนกลางคืน ดังนั้น การเลือกฮีทเทคสำหรับสวมใส่ด้านในเสื้อและกางเกงควรเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับสภาพอากาศมากที่สุด แล้วเพิ่มเติมด้วยการสวมเสื้อสเว็ตเตอร์ทับตามด้วยเสื้อนอกที่มีเนื้อผ้าเป็นวูล (Wool) ถ้าด้านในบุนวมได้ยิ่งดี หรือจะเลือกเสื้อกันหนาวแบบ outdoor ที่มีบุขนสัตว์ผสมใยสังเคราะห์หรือขนเป็ด และภายนอกกันลมได้ กางเกงก็ควรเป็นกางเกงยีนส์เนื้อหนาหรือแบบอุ่นพิเศษก็มีให้เลือกเช่นกัน

นอกจากนี้ก็ลืมไม่ได้กับเครื่องกันหนาวอื่นๆ ทีี่ควรเตรียมมาให้พร้อมด้วย ทั้งผ้าพันคอแบบหนาหรือผ้าคลุมคอ (Neck warmer) ถุงมือ หมวกไหมพรม ที่ปิดหูกันลม รวมทั้งแว่นตากันลมด้วยสำหรับคนที่ตาแห้งง่ายหรือแพ้อากาศ

jumboslot

อุณหภูมิติดลบและมีหิมะตก
ถ้าไปเที่ยวช่วงที่อุณหภูมิติดลบก็ใส่ให้หนาขึ้น แต่ถ้าเป็นพื้นที่ๆมีหิมะตกแล้วต้องลุยหิมะด้วย ก็ขอแนะนำว่าต้องเตรียมตัวและเสื้อผ้าแบบจัดเต็ม เหมือนกับอากาศหนาวที่สุดไม่ว่าจะเป็นฮีทเทค ลองจอน ถุงน่องแบบกันหนาว กางเกงเนื้อหนาหรือแบบอุ่นพิเศษ เสื้อสเวตเตอร์เนื้อหนา เสื้อโค้ทและเสื้อบุขนเป็ดอย่างหนา ผ้าพันคอแบบหนาและผ้าคลุมคอ (Neck warmer) ที่ปิดหู แว่นตากันลม หมวก ถุงมือต้องเป็นแบบใยสังเคราะห์ที่กันน้ำได้
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือรองเท้าและถุงเท้า ถุงเท้าควรเป็นแบบฮีทเทคที่ช่วยป้องกันความหนาว แต่ก็ไม่ใช่แค่อุ่น ต้องเอาของที่ช่วยให้เราเดินง่ายด้วย เช่นรองเท้าก็ต้องเป็นรองเท้าที่กันลื่นได้สำหรับใส่เดินบนหิมะโดยเฉพาะ หรือจะซื้อปุ่ม spike มาติดรองเท้าให้เดินง่ายไม่ลื่นก็ได้

อุปกรณ์กันหนาวอื่นๆที่แนะนำ
นอกจากเสื้อผ้าและเครื่องกันหนาวที่แนะนำไปข้างต้นแล้ว ที่ญี่ปุ่นก็ยังมีอุปกรณ์ช่วยกันหนาวที่น่าสนใจสำหรับฤดูหนาวนั่นคือ
ถุงอุ่นร้อนไคโร (Kairo) วิธีการใช้ก็ไม่ยากแค่ฉีกซองพลาสติก เขย่าเล็กน้อยแล้วเอาใส่กระเป๋าเสื้อกันหนาว เวลาเดินเที่ยวท่ามกลางอากาศหนาวก็เอามือซุกกระเป๋าที่มีถุงอุ่นร้อนไคโร ช่วยทำให้อบอุ่นขึ้น

slot

แผ่นแปะกันหนาวไคโร (Haru Kairo) วิธีใช่จะแตกต่างจากถุงอุ่นร้อนเล็กน้อยคือ เป็นแผนที่ต้องแปะไว้ตามร่างกายโดย ตำแหน่งที่แปะ ให้แปะบนฮีทเทคหรือเสื้อแขนยาว ตรงบริเวณหลัง หน้าท้องหรือสะโพก หรือส่วนที่หนาวง่าย แต่ห้ามแปะลงบนผิวหนังโดยตรงเด็ดขาด และในระยะหลังมานี้ที่ประเทศญี่ปุ่นก็ได้พัฒนาแผ่นแปะไคโรให้มีขนาดเล็กจนสามารถแปะไว้กับพื้นรองเท้าเพื่อคลายความหนาวที่เท้าตอนเดินลุยหิมะได้ด้วย

อุปกรณ์เหล่านี้อาจหาซื้อได้ยากในเมืองไทย แต่สามารถหาซื้อได้ที่ญี่ปุ่นง่ายๆในช่วงฤดูหนาว มีขายตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป
คนญี่ปุ่นชอบท่องเที่ยวและถือเป็นวัตธนธรรมกันสืบมา

รวมย่านในญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยแฟชั่นแปลกตา

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม ญี่ปุ่นยังขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องของวัฒนธรรม ที่แสดงออกผ่านการแต่งกาย ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นระดับโลก ไม่ใช่แค่เรื่องของการแต่งตัวแปลกๆเดินไปเดินมาเพื่อเรียกเสียงแฟลชจากกล้องของนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่บางแฟชั่นมันยังสะท้อนแนวคิดและจิตวิญญาณของสังคมญี่ปุ่นผ่านออกมาด้วย

1.แฟชั่นโลลิต้า (Lolita) ที่ฮาราจูกุ
แน่ใจว่าถ้าใครเดินพ้นสถานีรถไฟ Harajuku แล้วมุ่งหน้าไปยังถนน Takeshita Dori จะได้เห็นภาพของสาวน้อยที่แต่งตัวฟรุ้งฟริ้งกระโปรงฟูฟ่องผมม้วนเป็นลอนหลายนางผ่านตาเป็นแน่ ก็เพาะว่าที่ย่านฮาราจูกุแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของสตรีทแฟชั่นหลากสไตล์ โดยเฉพาะ “แฟชั่นโลลิต้า” สำหรับสาวญี่ปุ่นที่รักในความเป็นเจ้าหญิงสุดหัวใจ ที่บรรดาสาวๆที่มีรสนิยมเดียวกันก็จะแต่งตัวสไตล์นี้มารวมตัวกัน ให้เราได้แชะและชมแบบตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

“แฟชั่นโลลิต้า” ได้แรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นศตวรรษที่ 19 ในยุควิคตอเรียน ชุดกระโปรงของแฟชั่นแบบโลลิต้าเหล่านี้มีที่มาจากชุดกระโปรงที่เจ้าหญิงหรือชนชั้นขุนนางใส่กันในยุคสมัยนั้นนั่นเอง จะมีลักษณะเด่นอยู่ที่การใช้ชุดลายลูกไม้ กระโปรงฟูๆมีจีบและโบว์เยอะๆ เดรสของแฟชั่นโลลิต้ามีสุ่มซ้อนกันหลายชั้นด้านในเพื่อให้กระโปรงดูพอง นอกจากนี้เค้าจะมีการใส่เครื่องประดับบนหัวหรือโบว์ให้เข้ากับชุดและถือร่มลูกไม้เดินไปไหนมาไหนด้วย และยังมีสไตล์แยกย่อยออกมาอีกมากมาย เช่นสไตล์ยอดฮิตของแฟชั่นโลลิต้าที่เรียกว่า “โกธิคโลลิต้า” ซึ่งเป็นแฟชั่นที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างแฟชั่นโลลิต้าเข้ากับแนวโกธิค ทำให้กลายเป็นแฟชั่นแนวดาร์คๆที่ใช้สีดำหรือสีม่วงเป็นหลัก แตกต่างจากแฟชั่นโลลิต้าที่ใช้สีขาวหรือสีชมพูอ่อนเป็นหลักนั่นเอง

jumbo jili

  1. เจอสาวGyaru (แกล) สุดเซี้ยวได้ที่ชิบูย่า
    ภาพจำตั้งแต่แต่สมัยตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถ้าให้พูดถึงแฟชั่นสุดเพี้ยนที่บัญญัตินิยามความสวยที่แปลกใหม่ให้กับชาวญี่ปุ่น ก็จะต้องนึกถึงแฟชั่นสาวแกลด้วยแน่ๆ (Gyaru)
    ก่อนอื่นหากให้คำจำกัดความของความเป็น Gyaru ก็คือ การแสดงออกด้วยภาพลักษณ์ที่ฉูดฉาด, โดดเด่นและหลุดออกจากกรอบสังคมเดิมๆทั้งการแต่งตัวและการกระทำ และหากจะพูดให้เห็นภาพชัดๆของความเป็นGyaru ก็คือ การย้อมผมสีทอง, หัวฟู, แต่งหน้าจัด, ทาหน้าและตัวให้เป็นสีแทน, ใส่ขนตาหนาๆ แต่งตัวสีจัดๆ และมักไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆในที่ๆมีผู้คนพลุกพล่านเช่น สถานีรถไฟ ห้างสรรพสินค้า และย่านเมืองที่คึกคักอย่างอิเคะบุคุโระ, ชินจูกุ, ฮาราจูกุ, ชิบูย่า โดยเฉพาะที่ย่านชิบูย่าเรียกได้ว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของ Gyaru เลย

จะเห็นได้ว่าในห้างดังที่สุดในย่านนี้ Shibuya 109 เป็นแหล่งที่รวมร้านขายเสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้าสำหรับแฟชั่น Gyaru อยู่หลายร้านและมีสาว Gyaru เดินไปเดินมามากที่สุด สำหรับการย้อมสีผม แต่งตัวจัดและแต่งหน้าจัดของแฟชั่น Gyaru นั้น มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องแฟชั่นประหลาดๆ แต่จริงๆแล้วมันมีที่มาจากการต้องการการปลดปล่อยความเป็นตัวตนออกจากสิ่งแวดล้อมอันระเบียบจัดที่คาดหวังต่อผู้หญิงของญี่ปุ่น เช่นผู้หญิงญี่ปุ่นต้องผิวขาว ใส่ชุดสีเรียบร้อยไม่ฉูดฉาด ผมดำ เป็นต้น ฉะนั้นสาว Gyaru จึงแสดงออกทางตรงกันข้ามกับภาพเดิมๆผ่านแฟชั่นประหลาดๆนั่นเอง

สล็อต

3.แฟชั่นเมดที่แค่เห็นก็ใจละลายที่ย่านอากิฮาบาระ
แฟชั่นและวัฒนธรรมอีกหนึ่งอย่างของญี่ปุ่นที่ดังไกลไปทั่วโลก นั่นก็คือแฟชั่นชุดเมดและเมดคาเฟ่ ของสาวๆสุดโมเอะที่แสนน่ารักมุ้งมิ้ง เป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาโอตาคุ

ที่มาของแฟชั่นเมดและเมดคาเฟ่นั้นมีต้นกำเนิดมาจากการทำธุรกิจแนวร้านอาหารคอสเพลย์ ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่ต้นปี 2000 ซึ่งในยุคนั้นเทรนด์การ์ตูนที่ฮิตที่สุดแนวหนึ่งคือแนวที่มีตัวละครเป็นสาวใช้หรือ “เมด” นั่นเอง เจ้าของธุรกิจในย่านอากิฮาบาระจึงเกิดริเริ่มทำคาเฟ่ที่มีจุดขายคือพนักงานภายในร้านจะแต่งคอสเพลย์เป็นเมดสไตล์ยุโรปมาคอยต้อนรับ บริการเสิร์ฟอาหารกับเครื่องดื่ม และสร้างความบันเทิงแก่ลูกค้าภายในร้าน

ซึ่งโดยปกติร้านอาหารทั่วไปจะเรียกลูกค้าว่า “คุณลูกค้า” เฉยๆ แต่สำหรับเมดคาเฟ่จะพิเศษตรงที่เมดมักจะเรียกลูกค้าผู้ชายว่า “นายท่าน” (Goshujinsama) ลูกค้าผู้หญิงว่า “คุณหนู” (Ojousama) เนื่องด้วยบทบาทของเมดจะถือว่าลูกค้าเปรียบเสมือนเจ้านายภายในคฤหาสน์ไฮโซ ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ พวกเธอทุกคนจึงต้องสวมบทบาทเป็นสาวรับใช้ คอยดูแลปรนนิบัตินายท่านกับคุณหนูเป็นอย่างดี จากจุดขายตรงนี้เองที่ทำให้ลูกค้าหลายๆท่านเกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากได้เห็นเมดใส่ชุดน่ารักแล้ว ยังได้รับการบริการที่ดี มีกิจกรรมสนุกๆ มีอาหารอร่อยให้กิน เรียกได้ว่าเพลินตาและเพลินใจเลยทีเดียว ใครจะไม่เดินเข้าร้าน แต่แค่เดินไปในย่านอากิฮาบาระ ก็จะได้เห็นสาวๆเมด มายืนเรียกลูกค้ากันตามถนนเพียบ

สล็อตออนไลน์

4.ย้นตำนานร็อคกับชาว Rockability ที่สวน Yoyogi Tokyo
www.flicr.com
ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโตเกียวอย่างสวน Yoyogi นอกจากเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คนแล้ว ที่นี่ยังเป็นพื้นที่คนหลายกลุ่มรวมตัวกันทำกิจกรรมสนุกๆในวันหยุดด้วย หนึ่งในนั้นคือกลุ่ม Tokyo Rockabilly Club กลุ่มคนผู้หลงใหลในเพลงร็อคตะวันตกในยุค 50 ที่จะแต่งตัวซ่าๆด้วยเสื้อคลุมหนังสีดำ ทำผมทรงกระบังทาเจลหนาๆหรือสาวก็จะใส่กระโปรงพริ้วลายจุดสีสด พร้อมเสื้อแจ๊คเก็ตสไตล์จิ๊กโก๋จิ๊กกี๋ยุคเอลวิส เพรสลีย์ มารวมตัวทุกวันอาทิตย์เพื่อมาโยกย้ายส่ายเข่ากับเพลงที่เค้านำมาเปิดสไตล์ร็อคอะบิลิที (Rockabilly) ที่เป็นเพลงชนิดหนึ่งที่ผสมผสาน “ร็อคแอนด์โรล” เข้ากับเพลงคันทรี

ความเป็นมาของกลุ่ม Tokyo Rockabilly เกิดขึ้นช่วงยุค ’70s ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการรื้อฟื้นวัฒนธรรมต่างๆกลับมาอีกครั้ง ทั้งในรูปแบบเพลงและการแต่งตัว โดยกลุ่มนี้ได้แรงบันดาลใจจากแก๊ง Kaminari Zoku ในยุค’50s ที่มักพัวพันกับกิจกรรมอันตรายต่างๆและชอบแต่งตัวในลุคชุดหนังและขี่มอเตอร์ไซค์ ในทุกๆเช้าเลยไปถึงเย็นของวันอาทิตย์กลุ่มนี้จะเป็นอีกหนึ่งสีสันแฟชั่นที่เรียกความสนใจได้จากนักท่องเที่ยวมากเช่นกัน

jumboslot

5.ไปชมเกอิชาในชุดกิโมโน ที่ย่านกิออง เกียวโต
หากจะซึมซับภาพของความเป็นญี่ปุ่นสมัยก่อน ก็ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดย่านกิออง ที่เมืองเก่าอย่างเกียวโต กิออง(Gion)ย่านท่องเที่ยวสุดคลาสสิคยามราตรีของเมืองเกียวโต ด้วยที่นี่มีการผสมผสานความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นทั้งอาคารบ้านเรือนไม้ที่เรียกว่า Machiya ตั้งแต่สมัยเก่าก่อน และเรายังสามารถเห็นเกอิชา (นักเอนเตอร์เทนชาวญี่ปุ่นในชุดกิโมโน) เดินไปๆมาๆในบริเวณนี้ได้ในแทบจะทุกๆค่ำคืน ซึ่งสาวๆเกอิชาจะเดินตามถนนเส้นหลัก Hanami-koji ซึ่งเป็นเส้นที่อยู่ระหว่างถนนใหญ่ Shijo-dori และวัด Kenninji เส้นนี้จะเต็มไปด้วยร้านรวงประเภทร้านอาหารและร้านน้ำชามากมาย เมื่อย่ำค่ำสาวๆเกอิชาและไมโกะ (นักเอนเตอร์เทนฝึกหัด) ก็จะเดินออกมาตามถนนเพื่อตรงไปที่ร้านที่เธอเหล่านั้นทำงานอยู่ ซึ่งในร้านของย่านกิอองนี้ จะมีการแสดงโชว์ศิลปะของญี่ปุ่นโบราณๆโดยเกอิชาและไมโกะให้ชมภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น การร่ายรำและการชงชา ไปจนถึงการแสดงดนตรี

การแต่งกายของเกอิชาและไมโกะนั้นจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากชาวญี่ปุ่นปกติเล็กน้อย โดยนอกจากการสวมชุดกิโมโนอย่างเต็มยศแล้ว ก็จะมีการทาหน้าขาวและปากแดงประดับตกแต่งบนศรีษะด้วยปิ่นเพื่อสร้างอรรถรสทางตาให้กับผู้พบเห็น นอกจากนั้นในมือยังมีการถืออุปกรณ์การเล่นดนตรีต่างๆเพื่อใช้ในการเอนเตอร์เนลูกค้าด้วย ทั้งนี้ ย่านกิอองเองจะคึกคักมาเป็นพิเศษเมื่อถึง เทศกาล Gion Matsuri ที่จะถูกจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมของทุกปี

slot

6.แฟชั่นลายเสือของคุณป้าสุดแซ่บแห่งโอซาก้า
อายุเป็นเพียงตัวเลข จะเป็นป้าแต่ว่าใจก็ยังวัยรุ่น อีกหนึ่งนิยามของความเป็น Obachan (โอบะจัง) หรือคุณป้าในภาษาญี่ปุ่น แม้แต่ในหมู่คนญี่ปุ่นเองก็จะต้องรู้จักแฟชั่นสุดแซ่บของบรรดามนุษย์ป้าชาวโอซาก้าผู้น่ารักและเปรี้ยวที่สุดในสามโลก ผู้คนที่โอซาก้าโดยเฉพาะบรรดาคุณป้ามีความชื่นชอบการแต่งกายด้วยอะไรก็ได้ที่มีสีสันและลวดลายแรงๆ หนึ่งในนั้นก็คือลายเสือ ตั้งแต่เสือลายจุดๆแนว เสือดาวเล็กๆ ไปจนถึงหน้าเสือจากัวร์ขนาดใหญ่ที่พิมพ์เต็มตัวก็มีให้เห็นได้ไม่ยาก จนคนญี่ปุ่นเองเมื่อพูดถึง โอซาก้าโอบะจัง (คุณป้าชาวโอซาก้า) ก็จะนึกถึงคุณป้าอารมณ์ดีในชุดลายเสือขึ้นมาทันที

จริงๆแล้วแฟชั่นลายเสือนี้ มีต้นกำเนิดมาจาก ย่านถนนสายช้อปปิ้ง Tenjinbashisuji Shotengai ในโอซาก้า ซึ่งเป็นย่านการค้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นระยะทาง 2.6 กม. แห่งนี้ ที่เริ่มมาจากแค่มีลูกค้ามาถามหาเสื้อลายเสือใส่เพราะวันนั้นอยากให้ตัวเองรู้สึกมีพลังมากขึ้น คนขายก็เลยลองเอามาวางขายดูจนตอนนี้เป็นที่นิยมกันไปทั่วยิ่งตอนนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะคุณป้าเท่านั้น บรรดาลูกหลานของคุณป้าเองก็นิยมใส่ตามด้วย เพราะเหตุผลที่ว่า เสื้อลายเสือจะจับคู่กับอะไรที่สีเรียบๆใส่ก็เข้าได้ง่ายไปหมดฉะนั้นคุณป้าชาวโอซาก้าจึงนิยมใส่ แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นคือในวันที่คุณท้อแท้หรือต้องการพลังเพื่อปลุกตัวเอง การเลือกใส่เสื้อที่มีลายแรงๆ เช่นลายเสือนั้นมันเป็นตัวเรียกพลังได้ดีมากๆ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมเวลาเราไปเดินเที่ยวที่ถนนสายช้อปปิ้งที่นี่แล้วจะมีคุณป้าในร่างกึ่งเสือเดินกันขวักไขว่ และจะต้องมีหนึ่งในนั้นคอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่และคึกคักถึงแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ตาม
คนญี่ปุ่นชอบท่องเที่ยวและถือเป็นวัตธนธรรมกันสืบมา

คาเฟ่แมวดำแห่งเมือง “ฮิเมจิ” เนโกะบิยะกะ

นักท่องเที่ยวหลายๆคนมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วก็อาจจะไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปราสาท ออนเซน เมืองเก่า แต่ถ้าเป็นคนรักสัตว์แล้วล่ะก็ เจ้าพวกน้องหมา น้องแมวที่ญี่ปุ่นก็มีความน่ารักแบบที่เห็นแล้วไม่สามารถต้านทานได้ต้องขอเข้าไปอุ้ม ไปหอมกันสักหน่อยเลยทีเดียวค่ะ โดยที่ญี่ปุ่นนั้น คาเฟ่แมว นั้นเยอะมากค่ะ

jumbo jili

คาเฟ่ญี่ปุ่นที่มีแต่แมวดำ Nekobiyaka
คาเฟ่แมวเนโกะบิยากะ (Nekobiyaka) มีจุดขายคือมีแต่น้องแมวสีดำล้วนๆไม่มีสีอื่นนอกจากสีดำเลยค่ะ คาเฟ่แมวหลายๆแห่งนั้นแทบจะไม่มีแมวดำล้วนเลย อาจจะเป็นเพราะแมวดำล้วนไม่เป็นที่นิยมมากนัก เจ้าของคาเฟ่แมวดำเนโกะบิยะกะจึงตั้งใจสร้างที่นี่ขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งรวมตัวของผู้ที่ชื่นชอบเจ้าแมวดำค่ะ โดยแมวดำเจ้าประจำที่มาคอยต้อนรับแขกผู้มา
เยือนคาเฟ่แห่งนี้มีทั้งหมด 9 ตัวชื่อว่ามิโดริ โอเรนจิ โมโมะฮิโคะ คุโระดะคันเบ อะคะโฮะ มุราซากิ อะโอะโนะ ฉะมิ และเจ้าชิรายูคิ ค่ะ แต่จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะเพราะเจ้าของร้านมีแผ่น

สล็อต

กระดาษที่มีรายชื่อของน้องให้ด้วยค่ะ และเราสามารถแยกได้จากสีของผ้าพันคอน้องแมวค่ะ โดยแต่ละตัวจะมีผ้าพันคอสีไม่เหมือนกันค่ะ

ในร้านก็มีหลายมุมให้เราได้นั่งชิล โดยรับรองว่าเจ้าแมวทั้งหลายจะมาป้วนเปี้ยนหน้าหลังอย่างแน่นอนค่ะ แต่จะให้กอดให้อุ้มหรือเปล่านี่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลของเราเองค่ะ ฮา มุมที่ชื่นชอบมากคือมุมริมหน้าต่างนี้ที่มองออกไปก็เห็นถนน รถราผ่านไปมา และน้องแมวก็ชอบมานั่งดูรถที่มุมนี้เช่นกันค่า

สล็อตออนไลน์

3ในรูปนี้มีแมวดำทั้งหมด 6 ตัวค่ะ หาเจอกันหมดไหมเอ่ย นี่ขนาดยังมีอีกหลายตัวไม่ยอมมาเข้าเฟรมกันนะคะ คาเฟ่แห่งนี้เหมาะกับคนรักแมวดำจริงๆค่ะ

กฎและข้อควรระวัง
เมื่อเราเข้ามาในคาเฟ่แมวแล้วเราก็ต้องล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อก่อนเลยค่ะ โดยทางคาเฟ่จะเตรียมไว้ให้เรา จากนั้นก็เลือกทำเลเหมาะๆในการผูกมิตรกับเจ้าเหมียวกันค่ะ คาเฟ่

jumboslot

แห่งนี้มีกฎที่ต้องปฎิบัติตามอยู่ไม่กี่ข้อค่ะ นั่นก็คือ
ข้อแรก ถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้แฟลชเด็ดขาด เพราะอาจจะรบกวนและทำลายสายตาน้องแมวได้ค่ะ
ข้อที่สอง ห้ามอัดวิดิโอน้องแมวค่ะ
ข้อที่สามคือ ห้ามอุ้มแมวตอนที่น้องแมวกำลังหลับสบาย แต่สามารถลูบๆได้ค่ะ แต่ถ้าน้องแมวตื่นเต็มตาแล้วยอมให้เราอุ้ม ไม่มีปัญหาค่ะ

slot

ที่ตั้งของ Cat Cafe Nekobiyaka
คาเฟ่เนโกะบิกะยะนั้นอยู่ชั้น 2 ตรงข้ามกันโรงแรม Daiwa Roynet โรงแรมที่เหมาะจะเป็นที่พักในเมืองฮิเมจิเลยค่ะ ทางเข้าจะเป็นบันไดเล็กๆต้องสังเกตุให้ดีค่ะ และชั้น 2 จะเป็นหน้าต่างบานกว้างค่ะ คาเฟ่แมวดำแห่งนี้ไม่มีอาหารเสิร์ฟนะคะ มีแต่เครื่องดื่มเท่านั้นค่ หลากหลายรูปแบบในญี่ปุ่น

ประสบการณ์ทำงานจริงที่ Black company ในญี่ปุ่น

Black Company บริษัทสีดำ คืออะไร?
Black company (ブラック企業) คือบริษัทที่ใช้งานลูกน้องเเบบเกินที่กฏหมายกำหนด / มีกฏเข้มงวดเกินเหตุ / อาจมีการทำร้ายร่างกาย / ละลาบละล้วงทางวาจา / หรือลวนลามทางเพศ เป็นต้น
สรุปสั้นๆที่สุดก็คือบริษัทที่ทำผิดกฏหมายแรงงานในด้านที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของลูกจ้างโดยตรงทั้งร่างกายและจิตใจ อย่างเช่นที่เราได้ยินกันบ่อยๆก็คือการให้ทำงานเกินชั่วโมงที่กฏหมายกำหนดเป็นต้น แต่ที่จริงแล้วยังมีเหตุผลมากมายกว่านั้น
ส่วนใหญ่บริษัทสีดำนั้นมักจะมีหลายสายงาน แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นสายงานที่ทั้งคนไทยญี่ปุ่นเห็นตรงกันว่าเป็นสายที่ทำงานหนักและล่วงเวลาเยอะเช่นสายงานพวกสื่อ ดิจิตัลมีเดีย เอนเตอร์เทนเม้นท์ โฆษณา ครีเอทีฟ โรงงาน ร้านค้าปลีก เป็นต้นค่ะ แต่แน่นอนว่าสายงานอื่นก็มี ทั้งนี้แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับผู้บริหารของแต่ละที่และระบบของบริษัทว่าจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ถ้าเเจ็คพ็อตเจอคนไม่ดีเจอบริษัทสีดำก็ซวยไปค่ะ (อย่างเช่นผู้เขียนเอ๊งงงง)

jumbo jili

ถ้าทำงานที่บริษัทสีดำจะต้องเจออะไรบ้าง วันนี้ผู้เขียนจะมาเล่าให้ฟังค่ะ
*หมายเหตุ สิ่งที่ผู้เขียนจะเขียนดังต่อไปนี้ มีทั้งประสบการณ์ของผู้เขียนโดยตรงเเละประสบการณ์ของคนรอบตัวชาวญี่ปุ่น จะเขียนโดยไม่เจาะจงหรือระบุชื่อบริษัท

  1. เวลาเข้าทำงาน เลิกงานสุดโหด และวันหยุดที่น้อยยิ่งกว่าบริษัทญี่ปุ่นที่อื่น
    ผู้อ่านทุกท่านคงทราบถึงวัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่นเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องเวลาการทำงานกันบ้าง นั่นก็คือ “การตรงต่อเวลา” เเต่ถ้าคิดว่าทำเเค่นั้นเเล้วจะถูกชมล่ะก็ขอบอกเลยว่าผิดมหันต์จ้า จริงๆเเล้วมารยาทที่ดีของการทำงานที่ญี่ปุ่นต้องมาเข้าง่านก่อนเวลา ถ้าเข้างานตอน 7.00 ก็ควรมา 6.50 อันนี้ยังฟังดูปกติใช่ไหม เเต่ถ้าเป็นบริษัทดำก็มีบ้างที่ต้องมาล่วงหน้าเพื่อทำงานยิบย่อยก่อนที่จะเริ่มงานจริงด้วยค่ะ (โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง) เช่นชงกาแฟ กลับกันถ้าเป็นบริษัทที่ไม่ดำก็อาจจะมีคนทำหน้าที่อย่างนี้แน่นอนอยู่แล้วเช่นแม่บ้าน โดยไม่ต้องลำบากให้คนตำแหน่งอื่นมาทำ
    อย่างการมาสาย ปกติถ้าหากมาสายก็จะโดนดุว่าไปตามระเบียบ เเต่ถ้าเป็นบริษัทสีดำก็อาจจะไม่จบแค่นั้น เพียงเเค่ทำผิดนิดเดียวอย่างมาสาย บางคนก็อาจถูกเจ้านายเรียกไปด่า ถึงขั้นทำร้ายร่างกายและจิตใจก็มีค่ะ
    ถึงเเม้ว่าจะมาเริ่มงานก่อนเวลาไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเพียงใด เเต่บริษัทสีดำนั้นไม่มีทางเลิกตรงเวลาค่ะ โดยมักจะมีหลากหลายเหตุผลที่เเตกต่างกันออกไปเช่น
  • เจ้านายยังไม่กลับ กลับไม่ได้
  • กลับก่อนรุ่นพี่ไม่ได้
  • ต้องทำงานเเทนคนอื่นให้เสร็จ
  • มีกินเลี้ยง ไปปาร์ตี้ต้องไปกับลูกค้า หรือกับเจ้านาย (ไม่ได้ค่าทำงานล่วงเวลา เเต่จะไม่ไปก็ไม่ได้)
  • ถูกบังคับให้ทำงานให้เสร็จ (เเต่ไม่จ่ายล่วงเวลาให้)
    เป็นต้นค่ะ

สล็อต

ของทางผู้เขียนเองที่เจอมา ส่วนใหญ่จะเป็นให้ไปทำงาน ซึ่งมีกำหนดเลิก 4 ทุ่มกว่า กว่าจะเสร็จทุกอย่างเเล้วก็ปาไป 5 ทุ่ม เป็นเเบบนี้หลายอาทิตย์ติดกันเเต่เขาไม่ให้ค่าล่วงเวลา เเต่บอกว่าจะจ่ายให้เป็นโบนัสเเทนค่ะ (ซึ่งไม่จริง อย่าไปเชื่ออออ) ผู้เขียนเคยต่อรองเเล้วเเต่ก็ไม่เป็นผลค่ะ เพราะคนอื่นในบริษัทหลายคนก็ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ หนักกว่าเราก็มีแต่ไม่มีใครได้ค่าล่วงเวลาเลย (เเม้เเต่ประธานบริษัทเองก็ตาม)

ส่วนปาร์ตี้กินเลี้ยงที่ต้องไปกับลูกค้า-ผู้ร่วมงานนั้นมีทุกบริษัทไม่ว่าจะสีดำหรือธรรมดาค่ะ ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะได้ไปหรือไม่ แม้ในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นได้ลดการไปปาร์ตี้สังสรรค์หลังเลิกงาน (โดยเฉพาะแบบที่คอยบังคับลูกน้องให้ไปด้วย) ซึ่งลดกันไปเยอะเเล้ว เเต่บริษัทสีดำที่มีความจำเป็นต้องใช้การสังสรรค์เหล่านี้ในการทำความสนิทสนมกับลูกค้า ก็ยังมีการบังคับพนักงานอยู่ค่ะ ทางผู้เขียนก็ได้ไปมาหลายครั้งค่ะ ส่วนใหญ่มักจะจบปารตี้กันตอนตี2 – ตี4 เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีรถไฟวิ่งเเล้ว ทำให้ต้องนั่งเเท็กซี่กลับ จะขอออกมาก่อนก็ไม่ได้ เนื่องจากว่าเราเด็กสุดเเละผู้ใหญ่ไม่ยอมให้กลับค่ะ

  1. งานเลี้ยงหลังเลิกงานที่เลี่ยงไม่ได้ กลับก่อนก็ไม่ได้
    ปาร์ตี้กินเลี้ยงที่ต้องไปกับลูกค้า-ผู้ร่วมงานนั้นมีทุกบริษัทไม่ว่าจะสีดำหรือธรรมดาค่ะ ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะได้ไปหรือไม่ แม้ในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นได้ลดการไปปาร์ตี้สังสรรค์หลังเลิกงาน (โดยเฉพาะแบบที่คอยบังคับลูกน้องให้ไปด้วย) ซึ่งลดกันไปเยอะเเล้ว เเต่บริษัทสีดำที่มีความจำเป็นต้องใช้การสังสรรค์เหล่านี้ในการทำความสนิทสนมกับลูกค้า ก็ยังมีการบังคับพนักงานอยู่ค่ะ
    ทางผู้เขียนเองก็ได้ไปมาหลายครั้งค่ะ ส่วนใหญ่มักจะจบปาร์ตี้กันตอนตี2 – ตี4 เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีรถไฟวิ่งเเล้ว ทำให้ต้องนั่งเเท็กซี่กลับ จะขอออกมาก่อนก็ไม่ได้ เนื่องจากว่าเราเด็กสุดเเละผู้ใหญ่ไม่ยอมให้กลับค่ะ

สล็อตออนไลน์

  1. ทำงานแม้แต่ในเวลาสังสรรค์ สัญลักษณ์ของ Black Company แบบญี่ปุ่น
    นอกจากนั้น เวลาที่ไปทานข้าวกับบริษัท ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือเพราะเรื่องงาน ผู้ที่มีตำเเหน่งต่ำที่สุดก็จำเป็นที่ต้องอำนวยความสะดวกให้กับผู้อื่นเสมอ (อันนี้บริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็เป็นนะคะ ไม่ใช่เเค่บริษัทมืด เเต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เเล้วเเต่วัฒนธรรมของเเต่ละบริษัทด้วย) ผู้น้อยไม่สามารถทานข้าวอย่างเป็นสุขหรืออิ่มเเปร้เเบบคนอื่นได้ โดยมักจะมีหน้าที่เริ่มตั้งเเต่การจองร้าน ลำดับการนั่งที่นั่งในโต้ะว่าใครนั่งตรงไหน (ส่วนผู้น้อยต้องนั่งใกล้ประตูที่สุดเท่านั้น เพื่อสามารถคุยเเละสั่งอาหารกับพนักงานได้สะดวก) เเละจำเป็นที่ต้องคอยดูเเลเครื่องดื่มของคนทั้งโต๊ะว่าต้องการดื่มอะไร หมดเเล้วหรือยัง จะดื่มอะไรต่อ ส่วนอาหารจะไม่สามารถทานก่อนผู้อื่นได้ หรือบางครั้งยุ่งจนไม่ได้ทานก็มีค่ะ
    สำหรับบริษัทมืดนั้น เพียงเเค่ดูเเลเครื่องดื่มเเละอาหารนั้นไม่พอ เเต่บางคนต้องเอนเตอร์เทนหัวหน้าเเละลูกค้าด้วย ยกตัวอย่างเช่นเล่าเรื่องตลก เเสดงความสามารถพิเศษ (เช่นดื่มเบียร์ในอึกเดียว)

เรื่องเหล่านี้เหมือนว่าจะดูสนุกไม่ใช่เรื่องที่ดูเลวร้ายอะไร เเต่สิ่งต่างๆที่กล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่ออกแนวว่าต้องทำ เหมือนโดนบังคับกลายๆ ถึงจะไม่รู้สึกสนุกเเต่ก็ต้องบิ๊วตัวเองให้สนุกตลอดทั้งๆที่เลยเวลางานเเล้ว เเถมยังต้องอยู่จนถึงดึกดื่นก็เหนื่อยค่ะ ถ้าเราทำได้ไม่ดี ก็จะโดนเรียกไปด่าเป็นเรื่องเป็นราวทั้งที่ไม่ควรโดน เเละอาจกระทบกับงานที่ทำได้ด้วย

  1. เนื้อหางานไม่ตรงกับตำเเหน่งหน้าที่
    ในหลายบริษัทของญี่ปุ่น เด็กใหม่หรือคนที่พึ่งเข้าทำงาน จะถูกมองว่ามีตำเเหน่ง “ต่ำสุด” ในบริษัท เเละจำเป็นที่จะต้องให้ความเคารพรุ่นพี่ รวมถึงทำงานจิปาถะต่างๆด้วย (ยกตัวอย่างเช่นเสริฟชากาเเฟให้ลูกค้า ไปถ่ายเอกสารด้วย)

jumboslot

เเต่ในบริษัทสีดำนั้น นอกจากหน้าที่จิปาถะที่เด็กใหม่บริษัททั่วไปเขาทำกัน ก็ต้องทำงานอื่นที่นอกเหนือกับเนื้อหางานของตนเองด้วย ยกตัวอย่างเช่นทำงานเป็นฝ่ายวางเเผนธุรกิจ เเต่ต้องมาล้างห้องน้ำ ทิ้งขยะ ถูพื้้น นับสต๊อกสินค้าเป็นต้น
อย่างตัวผู้เขียนเอง ถึงเเม้จะทำงานเป็นล่ามอยู่ในเเผนกวางเเผนงาน แต่ทว่าได้ทำงานในตำเเหน่งเเละเนื้อหางานของตัวเองเพียงเเค่ประมาณ 30% ส่วนที่เหลือคือถูกรุ่นพี่เเละหัวหน้าให้ไปขายของ เตรียมสินค้า นับสต๊อก ล้างห้องน้ำ เติมเครื่องดื่มที่จะขายให้ลูกค้าในสถานที่จัดงาน ดูดฝุ่น ทิ้งขยะ ทั้งๆที่หน้าที่เหล่านั้นไม่ได้อยู่ในเนื้อหางานของผู้เขียนเลย เเละมีคนที่มีหน้าที่ที่ต้องทำสิ่งเหล่านั้นอยู่เเล้ว (ที่ยอมทำเพราะว่าเป็นเด็กใหม่ คิดเสียว่าเรียนรู้งาน เเต่สุดท้ายมาทราบว่าจริงๆเเล้วมีคนประจำตำเเหน่งนั้น ต้องมีคนช่วยเราทำ ไม่ใช่เราทำเพียงคนเดียว)

  1. ปัญหาหลักของ Black Company คือค่าล่วงเวลา วันหยุด เเละค่าตอบเเทน
    สำหรับบริษัทสีดำ ต่อให้ทำงานหนักเเค่ไหนก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเงินเดือนค่ะ เพราะโบนัสก็อาจจะไม่ได้ด้วย เงินเดือนขั้นพื้นฐานหากเปรียบเทียบกับที่ไทยเเล้วอาจจะดูเยอะ เเต่หากดูค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นเเล้ว เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นค่ะ
    หากได้ทำงานบริษัททั่วไปที่มีสวัสดิการดี มีวันหยุดที่เหมาะสม มีการจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าเดินทาง ช่วยค่าบ้าน ก็อาจจะคุ้มค่าที่ได้มาทำงานที่ญี่ปุ่นเเละมีเงินเก็บกลับไป แต่ถ้าหากได้ทำงานในบริษัทมืดที่สวัสดิการไม่ดี วันหยุดเเทบไม่มี ค่าล่วงเวลาไม่จ่าย ก็ไม่น่าคุ้มนะคะ นอกจากนั้นยังมีกรณีให้พนักงานออกเงินไปก่อนในระหว่างการทำงาน เช่นพวกค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์ต่างๆ โดยจะจ่ายคืนในภายหลัง เเต่พอถึงเวลาจริงๆก็ไม่จ่ายหรือจ่ายช้ามากๆก็มีค่ะ

พนักงานถูกบังคับให้ทำงานยันดึกดื่น เวลาที่ทำงานเกินไปโดยทางบริษัทไม่จ่ายค่าล่วงเวลาให้ (โอที) จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายในญี่ปุ่นแล้ว เเต่บางบริษัทก็มีวิธีในการหลบเลี่ยงได้ค่ะ เเละด้วยความที่คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง หากงานไม่เสร็จทำไม่ทำกำหนดส่งก็จะไม่กลับ และไม่จำเป็นต้องจ่ายโอทีก็ยอมทำ คนที่ยอมรับเรื่องเเบบนี้ก็มีเยอะค่ะ บริษัทก็สบายไป (อันนี้น่าชื่นชมในความรับผิดชอบของพนักงาน)
อย่างตัวผู้เขียนเอง ก็เคยทำงานล่วงเวลาไปถึง 50-60 กว่าชั่วโมงในเดือนเดียวโดยที่ไม่ได้อะไรเลยค่ะ (เเต่รุ่นพี่ในบริษัททำล่วงเวลากันโหดมากค่ะ หนักกว่าผู้เขียนเยอะ นับถือในความขยันมากๆ)

slot

วันหยุดของพนักงานก็จะไม่เหมือนได้หยุด อาจต้องมาทำงาน ต้องไปทานข้าว คอยอำนวยความสะดวกให้กับหัวหน้าเเละผู้บริหารเช่นไปตีกอล์ฟเป็นต้นค่ะ ส่วนตัวผู้เขียนเองก็ได้วันหยุดที่ไม่ค่อยน่าพึ่งพอใจสักเท่าไหร่ค่ะ ในวันหยุด Gloden Week ที่คนทั่วไปเขาหยุดกันเป็นอาทิตย์ บริษัทของผู้เขียนไม่ได้หยุด (เนื่องจากเป็นบริษัทที่จัดอีเว้นท์ตลอดเวลา) ก็เข้าใจได้ค่ะว่างานแบบนี้ไม่สามารถหยุดในช่วงที่คนอื่นหยุดกันได้ เเต่วันหยุดชดเชยนั้นได้เพียงครึ่งเดียวของวันหยุดที่คนอื่นได้กันค่ะ (โอทีก็ไม่ได้ วันหยุดก็ไม่มีอีก ผู้เขียนเหนื่อยใจ๋ม๊ากมากก)

  1. เพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี (ทั้งใน Black Company และบริษัททั่วไป)
    สำนวนไทยที่ว่า คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก อยากจะกรีดร้องบอกทุกคนเสียเหลือเกินว่ามัน จริ๊งงง!!
    สำหรับบริษัทสีดำนั้นเพื่อนร่วมงานก็อาจมีจิตใจดำมืดพอๆกับบริษัทก็เป็นได้ค่ะ ไม่ได้หมายความว่า 100 ทั้ง100 มีเเต่คนไม่ดี คนดีๆก็มีค่ะ เเต่คนไม่ดีที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงนั้นก็คือเพื่อนร่วมงานที่ใช้อำนาจข่มขู่ หรือเรียกว่า Power Harassment (ญี่ปุ่นเรียกว่าพาวะฮาระ) เเละล่วงละเมิดทางเพศ Sexual Harassment (เซกุฮาระ) กับเพื่อนร่วมงานด้วยกันค่ะ

ส่วนใหญ่จะพบการใช้อำนาจข่มขู่เเละล่วงละเมิดทางเพศในบริษัทสีดำอยู่เสมอค่ะ พบมากกว่าบริษัททั่วไปเพราะว่ากฏเกณท์ต่างๆของบริษัทสีดำปล่อยปละละเลยและทำให้ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าสามารถกดขี่ผู้มีตำแหน่งต่ำกว่าได้ง่ายนั่นเอง คนญี่ปุ่นจะใส่ใจในทุกๆเรื่องในการดำรงค์ชีวิต

เทคนิคดูแลผิวพรรณในฤดูร้อน สไตล์สาวญี่ปุ่น!

ฤดูร้อนในญี่ปุ่นเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอุปสรรคของความสวย แต่ไม่ต้องกลัวเพราะมีเทคนิคดีๆ ในการรับมือกับหน้าร้อนของญี่ปุ่นเพื่อผิวพรรณสวยๆ ที่ทำได้ไม่ยากเย็น

ฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ได้ร้อนเล่นๆ เมื่อเทียบกับบ้านเราแล้วที่ญี่ปุ่นอากาศจะร้อนอบอ้าว ทำให้รู้สึกอึดอัด เหงื่อออกยาก และพอมีเหงื่อก็แห้งยาก รู้สึกว่าตัวเหนียวหนืดนานกว่า รู้สึกไม่สบายตัวมากกว่า เนื่องจากมีความชื้นในอากาศสูงนั่นเอง สภาพอากาศร้อนเช่นนี้ก็เป็นตัวทำลายสภาพผิวของเรา วันนี้จึงมาแนะนำวิธีที่สาวๆ ญี่ปุ่นใช้รับมือกับสภาพอากาศที่ทรมานผิวพรรณแบบนี้ รับรองเลยว่าผิวจะสวยใสแบบสาวญี่ปุ่นกันแน่นอน

เรามาดูขั้นตอนการดูแลผิวให้สวยอยู่เสมอกันทีละสเต็ปๆ เลยดีกว่า

jumbo jili

  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในแบบสาวญี่ปุ่น
    การจะมีผิวสวยท้าลมร้อนอย่างแรกสุดควรใส่ใจเรื่องอาหาร สาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าถ้ารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ภายในร่างกายดีก็จะส่งผลให้ภายนอกดีไปด้วย สาวญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยรับประทานอาหารประเภทไขมัน น้ำตาล และเนื้อสัตว์มากนัก แต่จะเน้นผักผลไม้ ข้าว และปลาในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนเครื่องดื่มก็นิยมดื่มชาเขียว เพราะมีสรรพคุณในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขับของเสีย และต่อต้านแบคทีเรีย ชาเขียวจะช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายด้วย ทำให้สขภาพร่างกายดี ผิวพรรณผ่องใส

และสำหรับหน้าร้อนแบบนี้ อาหารที่เหมาะจะช่วยคลายร้อนได้ก็อย่างเช่นพวกบะหมี่เย็น โซเม็งเย็น โซบะเย็น ปิดท้ายด้วยของหวานอย่างน้ำแข็งใสและรามูเนะ เครื่องดื่มโซดาเปรี้ยวจี๊ดรสมะนาวสไตล์ญี่ปุ่น

สล็อต

  1. ครีมกันแดด ไอเท็มสำคัญที่ขาดไม่ได้ในหน้าร้อน
    แสงแดดเป็นศัตรูตัวฉกาจของผิว ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ หมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำต่างๆ ฝ้า กระ ผิวหยาบแห้งกร้าน เหี่ยวย่น เราจึงควรหลีกเลี่ยงการปะทะกับแสงแดด ดังนั้นก่อนออกจากบ้านตอนเช้าควรทาครีมกันแดดหรือรองพื้นที่มีส่วนผสมที่ป้องกันการถูกแสงแดดทำลายผิว สวมหมวกกันแดด ใส่แว่นกันแดด หรือกางร่ม การป้องกันผิวจากแสงแดดนี้เองที่เป็นเคล็ดลับให้สาวญี่ปุ่นมีผิวสวยๆ

สำหรับครีมกันแดดแบรนด์ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมทั้งในไทยและญี่ปุ่นเองก็มีมากมาย อาทิ บีโอเร (Biore) แอนเนสซ่า (Anessa) เป็นต้น ซึ่งทางญี่ปุ่นเองก็ได้คิดค้นสูตรและพัฒนาครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นแบบเจล ครีมหรือสเปรย์ นอกจากนี้ ครีมกันแดดเองก็สำคัญสำหรับหนุ่มๆ ด้วยเช่นกันนะ

สล็อตออนไลน์

  1. หัวใจสำคัญ หมั่นบำรุงผิวเป็นประจำไม่ให้ขาด
    การแต่งหน้าและบำรุงผิวหน้าก็สำคัญ สาวญี่ปุ่นให้ความสนใจดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดี เลือกใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ นอกจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ยังใช้สมุนไพรต่างๆ อีกทั้งสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติในท้องถิ่นของตนมาใช้บำรุงและประทินผิวอีกด้วย

ถ้าถามถึงผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในการทำให้ผิวพรรณสดใสมีสุขภาพดี หลักๆ คือตัวที่ใช้ทำความสะอาดผิว สาวญี่ปุ่นนิยมใช้น้ำมันเช็ดล้างทำความสะอาดเครื่องสำอางเพราะน้ำมันมีสารบำรุงที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิวอยู่เสมอ หลังขั้นตอนล้างหน้าก็ควรเช็ดด้วยโทนเนอร์ที่ช่วยปรับสมดุลผิว แล้วจึงลงเซรั่มบำรุงและครีมที่เหมาะสม

โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก็มีให้เลือกมากมายหลายแบรนด์ เช่น คาเนโบ (Kanebo) อิปซ่า (Ipsa) ชิเซโด (Shiseido) โคเซ (Kose) เป็นต้น

jumboslot

  1. ใช้ไอเท็มเสริมไว้ดูแลสุขภาพผิวและคลายร้อน
    นอกจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแล้ว สาวๆ ญี่ปุ่นก็ใช้พวกสินค้าเสริมความงามต่างๆ อีกด้วย อุปกรณ์เสริมความงามมากมายมีวางจำหน่ายทั่วไปให้สามารถซื้อหามาใช้ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนวดหน้า เครื่องนวดตัวที่จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี หรือจะเป็นแผ่นมาส์กหน้าชนิดต่างๆ ที่ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น บำรุงลึกล้ำ

และยังมีไอเท็มเด็ดๆ อีกหลากหลาย ยิ่งฤดูร้อนด้วยแล้วก็มีไอเท็มคลายร้อนที่น่าสนใจออกมาเอาใจกันมากมาย เช่น แผ่นแปะเพิ่มความเย็นตามจุดต่างๆ ของร่างกาย สามารถพกพาและหยิบมาใช้ได้สะดวก หรือสเปรย์เพิ่มความเย็นสดชื่นที่ฉีดตรงไหนก็ทำให้เย็นตรงนั้น เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มสไตล์ญี่ปุ่นที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

slot

  1. แช่น้ำร้อนหรือออนเซ็น ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและบำรุงผิว
    เคล็ดลับดีๆ เพื่อผิวสวยอีกอย่างที่พลาดไม่ได้คือการแช่น้ำร้อนน้ำแร่ ไม่ว่าจะเป็นการแช่น้ำร้อนที่บ้านหรือการไปแช่ออนเซ็น การแช่น้ำร้อนนั้นช่วยขจัดของเสียและสารพิษภายในร่างกาย กระตุ้นการหมุนเวียนโลหิต ทำให้สุขภาพผิวดี แร่ธาตุในน้ำมีคุณสมบัติที่ช่วยเกี่ยวกับผิวหนัง มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคผิวหนัง อาการแพ้ต่างๆ ช่วยให้ผิวเนียน นุ่มลื่น ผุดผ่อง สาวๆ ญี่ปุ่นจึงชอบแช่ออนเซ็นเป็นอย่างมาก

เป็นอย่างไรบ้างคะ กับการบำรุงผิวพรรณสไตล์สาวญี่ปุ่น เพียงแค่เพื่อนๆ ลองทำตามนี้รับรองว่าจะมีผิวพรรณที่สวยจนใครๆ ต้องเอ่ยปากชมกันเลยล่ะ คนญี่ปุ่นจะใส่ใจในทุกๆเรื่องในการดำรงค์ชีวิต

7 จังหวัดที่มีคนไทยอาศัยอยู่มากที่สุดในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีชาวไทยย้ายไปตั้งถิ่นฐานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปศึกษาต่อ ไปประกอบอาชีพหรือย้ายตามครอบครัว (ข้อมูลสถิติอ้างอิงจาก https://todo-ran.com/t/kiji/19398) พบว่าทั้ง 47 จังหวัด มีชาวไทยอาศัยอยู่มากน้อยต่างกันไปและหากใครกำลังวางแผนเพื่อย้ายไปอยู่ในญี่ปุ่นก็มีข้อมูลของ 7 จังหวัดที่ชาวไทยอาศัยอยู่มากที่สุดมาฝากดังนี้

  1. โตเกียว (Tokyo)
    โตเกียว (Tokyo) เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันโต (Kanto) และเป็นศูนย์กลางในทุก ๆ ด้าน ทำให้มีองค์กรธุรกิจตั้งอยู่ที่นี่ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ส่งผลให้มีความต้องการจ้างงานในปริมาณมากและมีชาวไทยที่ไปทำงานในโตเกียวจำนวนมากเช่นกัน

jumbo jili

ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวงที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นแต่ในเรื่องของการวางผังเมืองที่อำนวยความสะดวกให้กับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนก็ถือว่ารองรับทุกความต้องการได้อย่างยอดเยี่ยม โดยจะเห็นได้ว่าเขตพื้นที่ต่างๆ ของโตเกียว มีบรรยากาศที่หลากหลายแตกต่างกันทั้งแหล่งรวมความทันสมัยอย่างชิบุย่า ชินจูกุ กินซ่า พื้นที่สีเขียวกับสวนสาธารณะก็มีกระจายอยู่ทั้งเมือง ตลอดจนพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ย่านวัฒนธรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างที่ เหล่านี้เป็นต้น

  1. จังหวัดชิบะ (Chiba)
    จังหวัดชิบะ (Chiba) ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันโต (Kanto) และอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก เปรียบเหมือนเป็นชานเมืองหรือปริมณฑลซึ่งสามารถเดินทางเข้าถึงโตเกียวและจังหวัดรอบๆ ได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาตินาริตะ (Narita INTL Airport) ที่คุ้นเคยกันดี สำหรับจังหวัดนี้ก็มีชาวไทยอาศัยอยู่จำนวนมากรองจากโตเกียว เหตุผลหนึ่งก็เพราะเป็นแหล่งที่ตั้งของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง ทำให้มีชาวไทยเดินทางมาทำงานรวมทั้งย้ายมาตั้งถิ่นฐานกับครอบครัวรวมทั้งศึกษาต่อด้วย

สล็อต

จุดเด่นของชิบะคือมีบรรยากาศทั้งความเป็นเมืองที่ทันสมัยสะดวกสบาย และในขณะเดียวกันก็มีพื้นที่เกษตรกรรมและธรรมชาติที่รายล้อมพื้นที่ชนบทบรรยากาศเงียบสงบแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม หรือจะเดินทางไปมาระหว่างชิบะกับโตเกียวก็มีการคมาคมที่สะดวกมากเช่นกัน

  1. จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki)
    อิบารากิ (Ibaraki) เป็นจังหวัดหนึ่งในภูมิภาคคันโต (Kanto) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของภูมิภาคและอยู่ห่างจากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟมีเมืองมิโตะ (Mito) เป็นเมืองเอกและเป็นจังหวัดที่มีชาวไทยไปตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก บรรยากาศในภาพรวมของอิบารากิเรียกว่าเป็นเมืองใหญ่และจุดศูนย์กลางความเจริญต่าง ๆ รวมถึงการคมนาคมเชื่อต่อไปยังพื้นที่อื่น ๆ อย่างสะดวก และในขณะเดียวกันก็มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อาทิ พื้นที่ชายฝั่งทะเล ภูเขา น้ำตก ทะเลสาบ ประชากรมีหลากหลายอาชีพทั้งด้านอุตสาหกรรม การเกษตรและการประมง ทำให้เป็นเหตุผลที่มีชาวไทยมาอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อประกอบอาชีพและใช้ชีวิตกับครอบครัว

ทางด้านจุดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวที่อิบารากิก็มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอยากสวนฮิตาชิซีไซด์ปาร์ค (Hitachi Seaside Park) ซึ่งมีดอกไม้หลากสีสันให้ชมทุกฤดูกาล

สล็อตออนไลน์

  1. จังหวัดคานากาวะ (Kanagawa)
    คานากาวะ (Kanagawa) ถ้าเอ่ยชื่อจังหวัดนี้อาจจะไม่คุ้นหูกันนักแต่ถ้าบอกว่าเมืองเอกของจังหวัดนี้คือ “โยโกฮามา” (Yokohama) เชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักและเคยไปเที่ยวกันมาแล้วเพราะที่นี่คือเมืองท่องเที่ยวใกล้โตเกียวซึ่งมีบรรยากาศของเมืองท่าอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทำให้มีทิวทัศน์น่าอยู่ มีการคมนาคมที่สะดวกสบายและเข้าถึงโตเกียวหรือจะเดินทางไปภูมิภาคอื่นๆ ได้ไม่ยาก และด้วยความเป็นเมืองท่าเรืออุตสาหกรรมจึงมีเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การลงทุนรวมทั้งเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ มีผู้คนเดินทางมาทำงานและอาศัยอยู่จังหวัดนี้จำนวนมากรวมทั้งชาวไทยที่เดินทางไปทำงาน ไปเรียนต่อหรือไปตั้งถิ่นฐานกับครอบครัวที่จังหวัดนี้ด้วย

นอกจากจะมีโยโกฮามาเป็นเมืองเอก ก็ยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ วัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น คามาคุระ (Kamakura) ฮาโกเนะ (Hakone) เป็นต้น

  1. จังหวัดไซตามะ (Saitama)
    ไซตามะ (Saitama) อีกหนึ่งจังหวัดในภูมิภาคคันโต (Kanto) ที่เป็นปริมณฑลของโตเกียวซึ่งสามารถเดินทางระหว่างเมืองได้อย่างสะดวก เป็นจังหวัดที่มีทั้งความเจริญในเมืองใหญ่ เป็นศูนย์กลางการเดินทางสู่โตเกียวและจังหวัดอื่นๆ ในภูมิภาค รวมทั้งมีเมืองที่น่าสนใจกับบรรยากาศที่หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวรู้จักเป็นอย่างดี เช่น เมืองโบราณคาวาโกเอะ (Kawagoe), ชิชิบุ (Chichibu) , เมืองโอมิยะ (Omiya) ที่มีชื่อเสียงเรื่องบอนไซ เป็นต้น

jumboslot

สำหรับชาวไทยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดไซตามะ ก็มีจำนวนมากติดอันดับต้น ๆ ซึ่งการมาตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้ก็มีข้อดีในเรื่องการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย ค่าครองชีพไม่สูงเท่าเมืองหลวงอย่างโตเกียวและมีพื้นที่สาธารณะให้ได้ไปท่องเที่ยวผ่อนคลายในวันหยุดหลากหลายรูปแบบด้วย

  1. จังหวัดไอจิ (Aichi)
    ไอจิ (Aichi) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุ (Chubu) หรือภาคกลางของญี่ปุ่น มีเมืองเอกซึ่งถือว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของภูมิภาคนั่นคือนาโกย่า (Nagoya) เมืองอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีชาวไทยมาอาศัยอยู่ที่นี่จำนวนมากทั้งมาทำงาน มาเรียนต่อและย้ายถิ่นฐานตามครอบครัว

จุดเด่นของนาโกย่าคือการเป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในทุกๆ ด้าน มีสนามบินนานชาติประจำภูมิภาคตั้งอยู่ที่นี่และการเดินทางเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นๆ ก็มีความสะดวกสบาย และถึงแม้จะมีความเจริญทางอุตสาหกรรมสูงแต่ก็ยังมีพื้นที่อนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ มีพื้นที่ชนบทที่ผสมผสานกับความเป็นเมืองอย่างลงตัวรวมถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายและที่สำคัญคือการเป็นเมืองที่เติบโตทางด้านการศึกษาและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีทุกแขนงด้วย

slot

  1. จังหวัดโอซาก้า (Osaka)
    โอซาก้า (Osaka) จังหวัดที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์ของของภูมิภาคคันไซ (Kansai) และเป็นที่เติบโตทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศรองจากโตเกียว มีชาวไทยจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในจังหวัดโอซาก้าซึ่งมีทั้งแหล่งงานด้านอุตสาหกรรมหลายประเภท สถานศึกษาทุกระดับ ตลอดจนชาวไทยที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่กับครอบครัว

บรรยากาศของโอซาก้าให้ความรู้สึกคล้ายเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางความเจริญทุกด้าน ตั้งแต่การคมนาคมขนส่งซึ่งสามารถเดินทางข้ามภูมิภาคด้วยรถไฟความเร็วสูงได้อย่างสะดวกสบาย มีจุดเด่นในเรื่องแหล่งวัตถุดิบด้านอาหารจนทำให้ได้รับสมญานามว่า ครัวของชาติ (Tenka no Daidokoro) ดังนั้นหากมาอาศัยอยู่ที่นี่เรื่องอาหารการต้องบอกว่าอุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีย่านการค้า แหล่งช้อปปิ้งและแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งด้วย คนญี่ปุ่นชอบท่องเที่ยวและถือเป็นวัตธนธรรมกันสืบมา

ผลไม้ญี่ปุ่น 5 ชนิดที่ไปแล้วต้องกิน

ใครไปญี่ปุ่นแล้วชอบซื้อผลไม้มากินในโรงแรมพลาดไม่ได้ รวมห้าผลไม้ญี่ปุ่น พร้อมข้อมูลพันธ์ฮิต และฤดูที่เหมาะจะซื้อกินที่สุด ไปญี่ปุ่นเดือนไหนก็ลองเลือกกินดูนะ

เชื่อว่ามีผู้อ่านสายรักสุขภาพไม่น้อยที่สนใจรับประทานผลไม้ที่สดและอร่อยจากถิ่นกำเนิด ทั้งเลือกซื้อรับประทานเอง เลือกซื้อเป็นของฝากผู้อื่น หรือเลือกเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ต้องไปสัมผัสถึงฟาร์มปลูกผลไม้โดยตรง เราจึงอยากแนะนำผลไม้ขึ้นชื่อจากญี่ปุ่นทั้ง5ชนิดจากญี่ปุ่นที่ไปถึงถิ่นปลูกแล้วต้องรับประทานให้ได้ พันธุ์ชนิดไหนอร่อย ควรเลือกซื้อที่ไหนอย่างไร เรามีคำตอบให้คุณค่ะ

jumbo jili

เมล่อน (Melon)
เป็นผลไม้ที่อาจคุ้นตาคนไทยบ้าง โดยมักจะมีเปลือกนอกสีเขียวทรงกลม มีทั้งผลผิวเรียบและผิวขรุขระลายร่างแห ภายในมีสีสันที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ทั้งเนื้อสีขาว สีส้มเข้ม สีเหลือง และสีเขียวอ่อน มีรสชาติหอมหวาน โดยเฉพาะเมล่อนที่ญี่ปุ่นแล้วขึ้นชื่อเรื่องรสชาติฉ่ำหวานเป็นที่สุด

เมล่อนเป็นผลไม้ในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม) หากจะรับประทานให้ฉ่ำและอร่อยก็ต้องเลือกซื้อช่วงฤดูกาลนี้ แหล่งจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือฮอกไกโด จังหวัดอิบารากิ และจังหวัดคุมาโมโตะ แบ่งราคาตามสายพันธุ์ ขนาด และเกรดคุณภาพผลไม้ จึงทำให้มีราคาตั้งแต่ลูกละหลักหลักพันถึงหลักหมื่นเยน ถือว่าเป็นผลไม้ราคาแพงสำหรับคนญี่ปุ่น โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมคือพันธุ์ Yubari Melon และ Prince Melon ซึ่งมีราคาสูงมากถึงหลักหมื่นกว่าเยน

สล็อต

หากไปลองรับประทานทั้งทีอยากแนะนำให้เลือกเมล่อนยูบาริที่ฮอกไกโดในฤดูร้อน ด้วยสีสันที่น่ารับประทาน รวมถึงรสชาติที่และกลิ่นที่หอมหวาน ผลมีขนาดใหญ่ น้ำหวานภายในเนื้อเมล่อนเยอะคุ้มค่าแก่ราคาที่จ่ายไปในราคาขั้นต่ำหลักหลายพันเยน (แต่หากไปเที่ยวฟาร์มในฮอกไกโดก็สามารถซื้อที่หั่นแยกมาทานได้ โดยราคาต่อชิ้นจะหลักร้อยเยน) ถ้าหากจะซื้อกลับทั้งลูก เวลาเลือกซื้อควรเลือกผลเมล่อนที่สีผิวสม่ำเสมอกันทั้งลูก

ลูกพลับ (Persimmon)
ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีมายาวนานตั้งแต่ยุคสมัยเฮอัน ซึ่งคาดว่ารับพันธุ์มาจากประเทศจีนในสมัยนั้น มีผลสีส้มทรงกลม มีแก่นข้างบนผลสีเขียว มีรสชาติหวานละมุน มีวิตามินซีแถมช่วยแก้อาการเมาค้างได้ด้วย ซึ่งเป็นผลไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-พฤศจิกายนแต่เก็บเกี่ยวถึงเดือนธันวาคม) มีแหล่งผลิตขนาดใหญ่ที่จังหวัดวากะยามะ จังหวัดนารา และจังหวัดฟุกุโอกะ

สล็อตออนไลน์

พันธ์ที่นิยมปลูกคือพันธุ์จิโร่และพันธุ์ฟุยู ราคาของลูกพลับหวานโดยรวมไม่แพงราวๆ 100-200 เยนต่อผล บวกลบราคาตามคุณภาพและจำนวนของผลไม้ต่อแพ็ค โดยพันธุ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหวานอร่อยและไม่ฟาดคือพันธุ์ฟุยู(富有柿) ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนาราและจังหวัดกิฟุ แต่สามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์ในเมืองเช่นกัน

เกาลัด (Chestnut)
เกาลัดเป็นผลไม้ชนิดเก่าแก่ที่ค้นพบตั้งแต่ยุคโบราณสมัยโจมงของญี่ปุ่นในราวๆ 5,000 ปีก่อน และเป็นผลไม้อีกชนิดที่ครองใจผู้ใหญ่หลายๆท่าน เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานน้อย มีลักษณะเป็นเปลือกผิวเรียบสีน้ำตาลเข้มปกคลุมด้วยขนแหลมรอบๆ เนื้อข้างในสีเหลือง มีรสชาติหวานมัน เป็น ผลไม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่น (เดือนกันยายน-พฤศจิกายน) แหล่งผลิตขนาดใหญ่อยู่ที่จังหวัดอิราบากิและคุมาโมโตะ แนะนำให้ซื้อของจังหวัดอิราบากิ

jumboslot

พันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุุดในญี่ปุ่นคือพันธุ์สึคุบะ (Tsukuba) ซึ่งเป็นพันธ์ที่นิยมปลูกในจังหวัดอิบารากิที่สุดด้วย มีเปลือกมันวาวสีน้ำตาลอมแดงมีน้ำหนักต่อผลมาก และพันธุ์ทันซาว่า (Tanzawa) อีกอันที่อยากแนะนำให้ไปลองเนื่องจากมีเนื้อที่หวานอร่อยและมีกลิ่นหอมมาก หากมาเลือกซื้อรับประทานควรมาในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลเกาลัดสุกกำลังดีและรสชาติอร่อยที่สุด

สตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry)​
เชื่อว่าคนไทยหลายๆท่านชอบรับประทาน​สตรอว์เบอร์รี่​ แต่อาจคุ้นชินกับรสชาติสตรอว์เบอร์รี่​ที่มีรสเปรี้ยวจี๊ดลูกเล็กมากกว่าเพราะหาซื้อง่ายในไทย แต่สำหรับสตรอว์เบอร์รี่​จากประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีหลายพันธ์ให้เลือก ส่วนใหญ่ที่ขายดีจะเป็นแบบสีแดงลูกโต รสชาติหวานฉ่ำอมเปรี้ยว เป็นผลไม้ประจำฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ (เดือนธันวาคม-พฤษภาคม​)​

หากต้องการจะเลือกซื้อรสชาติที่หวานอร่อยแนะนำให้ซื้อในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มีแหล่งผลิต​ขนาดใหญ่​อยู่ในจังหวัดโทชิกิ จังหวัดฟุกุโอกะ และจังหวัดคุมาโมโตะ​ โดยมีสายพันธุ์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นที่แนะนำคือ สตรอว์เบอร์รี่​พันธุ์​อามะโอ(あまおう苺)​ มีผลใหญ่แบบในภาพ รสชาติหวานมาก มีตั้งแต่ราคาย่อมเยาว์ 2,500เยน ต่อแพ็ค15ผล กระทั่งหลักเฉียดราคาหมื่นเยน ตามคุณภาพเกรดผลไม้ น้ำหนัก และจำนวนผลต่อแพ็ค หาซื้อได้ไม่ยากตามซุปเปอร์ในเมือง หากไปถูกฤดู

slot

ฮิรามิเลม่อนหรือชิควาซ่า (Hirami lemon, Shikuwasa)
ชิควาซ่า (シークワーサー)​ ผลไม้ชนิดนี้คนไทยอาจไม่คุ้นหูนัก แถมมีชื่อคล้ายภาษาตะวันตกแต่จริงๆแล้วเป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์แบบภาษาโอกินาว่า และมีชื่อกลางว่าฮิรามิเล่อน แต่ถึงแม้ชื่อจะไม่คุ้น รสชาตินั้นกินไม่ยากสำหรับคนไทย

ลักษณะผลภายนอกลูกเล็กสีเขียวเข้มเหมือนมะนาวแป้นของไทย แต่เมื่อผ่าข้างในจะพบว่าสีสันของเนื้อผลไม้จะเหมือนนำเลม่อนมาผสมกับส้ม มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย เป็นผลไม้ที่เกิดขึ้นในเขตร้อนเท่านั้น จึงสามารถปลูกได้ดีในญี่ปุ่นแค่ที่จังหวัดโอกินาว่า จนกลายเป็นของฝากประจำจังหวัด ปลูกกันในช่วงกลางฤดูร้อนกระทั่งถึงช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง(เดือนกรกฏาคม-ตุลาคม)

วิธีรับประทานจะเหมือนกับเลม่อนหรือมะนาว โดยมักจะไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร คั้นเป็นน้ำผลไม้สด นำไปจิ้มกับซาชิมิ หรือนำไปทำเป็นซอสชิควาซ่าก็ได้ ราคาหน้าสวนหากซื้อที่โอกินาว่าจะไม่แพงมากเพียง1,000 เยนต่อกิโลกรัม แต่ถ้าหากซื้อจากภูมิภาคอื่นราคาจะสูงขึ้นหลายเท่าตัว แนะนำว่าไม่ต้องหิ้วกลับไทย ให้ลองผลไม้ชนิดนี้แบบน้ำผลไม้คั้นสดจะเหมาะกว่า คนญี่ปุ่นชอบการท่องเที่ยวและการกินมาก