Bitcoin มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ถูกสร้างเป็นโทเค็นสำหรับแพลตฟอร์ม Defi
Bitcoin มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกสร้างโทเค็นขึ้นมาใหม่บนเครือข่ายของ Ethereum ( ETH ) เพื่อให้สามารถเข้าถึงโปรโตคอลทางการเงินแบบกระจายอำนาจ ( DeFi ) และสามารถเทียบได้กับมูลค่าโดยรวมที่ถูกล็อค (TVL) อยู่บนแพลตฟอร์ม DeFi ภายในเวลาน้อยกว่า 4 เดือน
จากข้อมูลของ DeFi Pulse ประมาณ 98,300 BTC หรือมูลค่าราว ๆ 1.05 พันล้านดอลลาร์ถูกสร้างโทเค็นโดยใช้โปรโตคอลตัวอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เครือข่าย Lightning Network ของ Blockstream หรือคิดเป็นมากกว่า 12% ของมูลค่าโดยรวมในภาค DeFi ที่มีมูลค่าทั้งหมดอยู่ที่ 8.57 พันล้านดอลลาร์
ความสำเร็จดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของโปรโตคอลที่ใช้ ETH Base เพื่อสร้างผลตอบแทนแบบ Passive Income ให้กับกลุ่มผู้ซื้อ Bitcoin โดยภาค DeFi ทั้งหมดมีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ 1.05 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน เป็นที่น่าสังเกตว่า 47.5 ล้านดอลลาร์หรือ 4.7% ของสินทรัพย์อยู่ที่ถูกล็อคอยู่ใน Defi เป็น Bitcoin ซึ่งนั่นหมายความว่าส่วนแบ่งตลาดของ BTC ในภาค DeFi เพิ่มขึ้นกว่า 150% ในช่วงเวลาประมาณสามเดือนครึ่ง
ในทางกลับกันเครือข่าย Lightning Network ได้รับ Bitcoin เพียงแค่ 1,100 BTC หรือคิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 11.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2018
ในเดือนมิถุนายน BTC ส่วนใหญ่ในภาค DeFi อยู่ในรูปแบบของ Wrapped Bitcoin (WBTC) อย่างไรก็ตามการเปิดตัว Ren ที่กระจายอำนาจมากขึ้นของ Virtual Machine (VM) และ RenBTC ในปีนี้ได้กระตุ้นการขยายตัวของ Bitcoin ในภาค DeFi ให้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โปรโตคอล Bitcoin tokenization จะอนุญาตให้ผู้ใช้ล็อค Bitcoin และสร้างโทเค็น ERC-20 ที่มูลค่าทัดเทียมกันขึ้นมา จากนั้นโทเค็นดังกล่าวก็จะสามารถโต้ตอบกับสัญญา Smart contract บนเครือข่าย Ethereum ได้อย่างง่ายดาย
ในขณะที่ WBTC ยังคงเป็นโปรโตคอลโทเค็นที่ครองตำแหน่งอันดับสูงสุดโดยมี BTC ที่ถูกล็อคอยู่ทั้งหมด 56,800 Bitcoin หรือคิดเป็นมูลค่าราว ๆ 605.5 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2018
ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาโปรโตคอลทั้งสองนั้นมีจำนวน Bitcoin ที่ถูกล็อคเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า แต่ถึงกระนั้น WBTC ยังคงมี BTC ในปริมาณที่มากกว่า RenBTC ด้วยจำนวน WBTC ที่เพิ่มขึ้นจาก 28,360 BTC ไปเป็น 56,850 BTC ในขณะที่ RenBTC เพิ่มขึ้นจาก 10,000 BTC เป็น 21,510 เท่านั้น
ในช่วงตลอด 90 วันที่ผ่านมาทั้งสองโครงการได้เห็นการเติบโตมากกว่า 850% โดยในวันที่ 19 มิถุนายน WBTC มีโทเค็นเพียง 5,839 BTC และ Ren มีโทเค็นเพียง 155 BTC เท่านั้น
Curve Finance เป็นโปรโตคอลทำ yield farming อันดับต้น ๆ ที่มีโทเค็น BTC ที่ถูกล็อคอยู่ในแพลตฟอร์มสูงถึง 27,600 Bitcoins หรือคิดเป็นมูลค่าราว ๆ 295 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย Aave 17,800 BTC (190.5 ล้านดอลลาร์) และ Balancer 9,500 BTC (101.6 ล้านดอลลาร์) โดยรวมแล้วโปรโตคอลทั้งสามมี Bitcoin ที่ถูกล็อคในแพลตฟอร์มมากกว่าครึ่งหนึ่งของโทเค็นที่ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด
Coinbase ได้มีการเปิดสำนักงานใหม่ในเมือง Hyderabad ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีในประเทศอินเดีย โดย Coinbase วางแผนที่จะมีการว่าจ้างงานจากทั่วประเทศจากทางไกล
“เราจะมีทีมสำหรับการทำงานสำคัญ ๆ ใน Coinbase เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, คลาวด์, แพลตฟอร์ม, การชำระเงิน, คริปโต, บล็อกเชน, วิศวกรรมข้อมูล, การเรียนรู้กลไก, การเติบโต และวิศวกรรมผลิตภัณฑ์ เป็นต้น”
“โดยทีมเหล่านี้จะนำโดยผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมในท้องถิ่น” Pankaj Gupta รองประธานฝ่ายวิศวกรรมและหัวหน้าไซต์ในอินเดียกล่าว
นอกจากนี้ Coinbase ยังมีแผนที่จัดตั้งสาขาในเมืองสำคัญ ๆ เพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้มีสภาพแวดล้อมแบบผสมผสานและยืดหยุ่น โดยการเข้าซื้อกิจการของสตาร์ทอัพเพิ่มเติม
“เรามีแผนการที่มีความทะเยอทะยานสำหรับศูนย์กลางนี้ในอนาคตอันใกล้ เราต้องการที่จะว่าจ้างวิศวกรระดับโลกจำนวนหลายร้อยคนในระยะเวลาอันใกล้นี้” Gupta กล่าว
การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นี่เป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ที่สุด Coinbase นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักงานยุโรปในลอนดอน ซึ่งปัจจุบันได้มีการย้ายสำนักงานไปที่ประเทศ Ireland
ดูเหมือนว่า Coinbase จะเลือกประเทศอินเดียเป็นฐานในทวีปเอเชีย โดยประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีการยอมรับคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในปีนี้
แม้ว่าสถานการณ์ด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีต่าง ๆ ในประเทศอินเดียจะยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็มีข้อเสนอแนะว่าประเทศอินเดียอาจจะนำกรอบการทำงานของยุโรปและอเมริกาไปใช้ เพื่อประกาศยอมรับให้คริปโตเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง โดยนั่นจะเป็นไฟเขียวให้กับอุตสาหกรรมคริปโต และบริษัทคริปโตที่มีการสำรวจหาประเทศที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ในฐานะประเทศที่มีการเติบโตด้านเทคโนโลยีที่มีประชากรกว่า 1.36 พันล้านคน นี่อาจจะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรมคริปโต และความสัมพันธ์ระดับโลกระหว่างชาติตะวันตกและประเทศอินเดีย
การจัดตั้งสำนักงานของ Coinbase และแผนการขยายตัวที่เป็นไปได้นี้ อาจเป็นเรื่องราว ‘Out with China, in with India’ ซึ่งเป็นบทใหม่ของอุตสาหกรรมคริปโตหลังจากมีการปราบปรามอุตสาหกรรมคริปโตในประเทศจีน
เมื่อปี 2017 ประเทศเวียดนามได้มีการประกาศแบนการชำระเงินด้วยบิทคอยน์ แต่เมื่อเดือพฤษภาคมที่ผ่านมากระทรวงการคลังของเวียดนาม ได้มีการจัดตั้งกลุ่มวิจัยที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ศึกษากฎระเบียบการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซี
ตามรายงานจาก The Phnom Penh Post เมื่อวันที่ 4 นายกรัฐมนตรีเวียดนาม Pham Minh Chinh ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามวัย 62 ปี ได้ร้องขอให้ธนาคารกลางของประเทศจัดทำโครงการนำร่อง สำหรับการใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีจากเทคโนโลยีบล็อกเชนภายในสองปีข้างหน้า
ความคิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นการพัฒนากลยุทธ์รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ของนายกรัฐมนตรี Chinh
โดย Chinh เชื่อว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็น ‘เทรนด์ที่ไม่สามารถต่อต้านได้’ และนอกเหนือจากคริปโตแล้ว ประเทศเวียดนามจะมุ่งเน้นการเทคโนโลยีสมัยใหม่อื่น ๆ มาใช้ เช่น บิ๊กดาต้า ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (AR)
มีรายงานว่าตลาดหลักทรัพย์ของฟิลิปปินส์ (PSE) กำลังมองว่าเหรียญ cryptocurrency นั้นถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งแล้ว และเตรียมเปิดให้บริการซื้อขายในประเทศได้
นาย Ramon Monzon ประธานและ CEO ของ PSE กล่าวว่าตลาดหุ้นท้องถิ่นควรเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศ และเรื่องดังกล่าวได้มีการหารือกันแล้วในการประชุมผู้บริหารระดับสูง ตามรายงานของ CNN Philippines
นาย Monzon ยังอ้างถึงเหตุผลที่ผู้คนควรเทรดเหรียญ crypto ที่ PSE อีกด้วย
เป็นเพราะเรามีโครงสร้างพื้นฐานในการซื้อขาย แต่ที่สำคัญกว่านั้น เราสามารถคุ้มครองนักลงทุนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เช่น crypto”
17 ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน crypto ที่ลงทะเบียนแล้ว
จนถึงปัจจุบันธนาคารกลางในประเทศอย่าง Bangko Sentral ng Pilipinas ได้ออกใบอนุญาตให้เว็บกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัล 17 แห่งเพื่อดำเนินการในประเทศแล้ว
ในเดือนมกราคม ธนาคารกลางได้กระชับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสินทรัพย์ crypto ท่ามกลางความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น
เราได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้เว็บกระดานเทรดเหรียญคริปโตในช่วงสามปีที่ผ่านมา และตอนนี้มันสมควรแล้วที่เราจะขยายขอบเขตของกฎระเบียบที่มีอยู่เพื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมการเงินนี้ และกำหนดความคาดหวังในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม” Benjamin Diokno ผู้ว่าการ BSP กล่าว
ชาวฟิลิปปินส์สนใจความผันผวนของสกุลเงินดิจิทัล
Monzon ตั้งข้อสังเกตว่า cryptocurrencies ไม่มีอะไรมารองรับมันเลย แต่ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากก็สนใจสินทรัพย์ประเภทใหม่นี้เนื่องจากความผันผวนของมัน
“มันคือกำไรจากการลงทุนทั้งหมด หมายความว่าราคาที่ผมได้รับจาก crypto ของผมคือราคาที่คุณยินดีจ่าย… ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงสนใจสิ่งนั้นเพราะความผันผวน”
Monzon ได้เตือนถึงความอันตรายของความผันผวนของสินทรัพย์ประเภทนี้อีกด้วย เขากล่าวเสริมว่าการเทรดเหรียญคริปโตในฟิลิปปินส์นั้นควรอยู่ภายใต้ PSE
ชาวฟิลิปปินส์ให้ความสนใจในเหรียญ Bitcoin และ cryptocurrencies อื่น ๆ มากขึ้น หลังจากที่ราคาของ BTC ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในปีนี้
โดยมันได้พุ่งไปสูงกว่า 63,000 ดอลลาร์ในเดือนเมษายนก่อนที่จะตกลงมาอยู่ที่ประมาณ 30,000 ดอลลาร์ หลังจากถูกนาย Elon Musk ปั่นราคา และรวมถึงการปราบปรามการขุดในจีน